มานั่งนึกดูว่าหนุ่มสาววัย 40 รุ่นราวคราวเดียวกับผม นี่ต้องเผชิญวิกฤติในประเทศไทยอะไรมาบ้าง ไม่ว่าจะวิกฤติต้มยำกุ้ง, วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ มาจนถึงเหตุการณ์ช่วงโควิด ที่ยังส่งผลต่อเศรษฐกิจมาจนทุกวันนี้ แต่ก็ยังมีคนที่ยืนหยัดอยู่ได้มากว่า 40 ปีอย่างแข็งแกร่ง นั่นก็คือ ‘แสนสิริ’ ที่จวบจนวันนี้พัฒนามาแล้วกว่า 500 โครงการ รวม 130,000 ยูนิต ที่ยังโตและแข็งแกร่งแบบนี้ได้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
หัวใจสำคัญของเค้าคือการยึดหลัก Resilient Growth หรือการดำเนินธุรกิจที่พร้อมเปลี่ยนแปลง รวดเร็ว และต่อเนื่อง ภายใต้ DNA เดียวกัน หลักคิดนี้ทำให้ไม่ว่าจะพบเจอสถานการณ์ไหนก็จะก้าวผ่านไปได้ โดยมีสิ่งสำคัญอยู่ 4 ข้อ ได้แก่
- Speed To Market การเข้าถึงตลาดให้เร็วด้วยคุณภาพของสินค้าและบริการ เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดของบริษัท
- Attention To Detail ใส่ใจรายละเอียดในงานทั้งกับเพื่อนร่วมงานและลูกค้า
- Ownership คำนึงอยู่เสมอว่าคือบริษัทของตัวเอง เพื่อทำสิ่งที่ดีที่สุดและรับผิดชอบกับผลลัพธ์ที่จะตามมา
- Good Citizen ตอบแทนสังคมเป็นพลเมืองที่ดี ยอมรับความเห็นต่างหลากหลาย ความเท่าเทียม เต็มเติมสังคมในทุกมิติ
โดยเฉพาะการเป็นพลเมืองที่ดี ต้องไม่ลืมที่จะให้ความสำคัญกับสังคมและดูแลสิ่งแวดล้อม ซึ่งเค้าเชื่อเสมอว่านี่เป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความยั่งยืน ที่จะให้องค์กรเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง อย่างเหตุอุทกภัยภาคเหนือที่หนักที่สุดในรอบ 80 ปีที่ผ่านมา เค้าได้ร่วมช่วยเหลือภายใต้โครงการ No One Left Behind ต้องไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ระดมสรรพกำลังลงสู่พื้นที่เชียงใหม่และเชียงราย ร่วมกับการมอบเงินบริจาค จำนวน 2,000,000 บาท ให้สภากาชาดไทย ส่วนในแง่ของการดูแลสิ่งแวดล้อม แสนสิริก็เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายแรกของไทยที่ตั้งเป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2593 (ค.ศ. 2050) โดยเริ่มตั้งแต่การออกแบบ ก่อสร้าง จนถึงการส่งมอบบ้านพลังงานสะอาดให้ลูกค้าครับ
สิ่งที่เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ในการประสบความสำเร็จอย่างนึงคือตัวเลขรายได้ของผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ในช่วง 9 เดือนแรกที่ผ่านมาในป 67 แสนสิริอยู่อันดับ 1 ด้วยจำนวน 28,877 ล้านบาท โดยรายได้หลักก็มาจากการขายบ้านในโครงการจัดสรร โดยเฉพาะกลุ่มบ้านลักชัวรี่ที่มีราคาแพง ที่เราคุ้นหูกัน อย่าง นาราสิริ, เศรษฐสิริ และบูก้านของเค้านี่แหละ ส่วนคอนโดเองก็มีรายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์โครงการ ใน Strategic Location (พัทยา ภูเก็ต เชียงใหม่)
และในระดับนานาชาติ แสนสิริก็ได้รับการเกียรติจากนิตยสาร Fortune ที่จัดอันดับ 500 บริษัทใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ให้เป็นอันดับ 1 ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยในไทย และล่าสุดยังคว้าเรตติ้งสูงสุดจากการประเมินผลหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ประจำปี 67 ที่ระดับ AAA ซึ่งได้รับการประเมินและจัดอันดับโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นการติดอันดับหุ้นยั่งยืนต่อเนื่อง 5 ปีซ้อน และอีกหลายรางวัลที่สถาบันจัดอันดับต่างๆ มอบให้อีกด้วยครับ
สำหรับกลยุทธ์ธุรกิจในปีนี้ เราได้เห็นการเปิดโครงการอย่างต่อเนื่องกระจายไปในหลายทำเล รวมทั้งหัวเมืองท่องเที่ยวสุดฮิตอย่างภูเก็ต ซึ่งแสนสิริเข้าไปพัฒนา ‘The Society’ โซเชียลสเปซ แห่งแรกใจกลางย่านบางเทา-เชิงทะเล เป็นคอมมูนิตี้นานาชาติให้ผู้คนมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่หลากหลาย พร้อมลิ้มรสอาหาร สนุกสนานกันได้ตลอดทั้งวัน เป็นสถานที่ที่ทำให้ผู้คนได้เข้ามาสัมผัสความเป็นแสนสิริที่มุ่งสู่การเป็น Global Lifestyle Brand
พูดถึง “คอมมูนิตี้” นี่เป็นจุดแข็งของแสนสิริที่เค้าสร้างเมืองเล็กในเมืองใหญ่ ให้เป็นสังคมคุณภาพ ปีนี้ก็ยังมีการต่อยอดด้วยการสร้าง ’SANSIRI 10 EAST‘ บนพื้นที่ 165 ไร่ มูลค่ารวมกว่า 18,000 ล้านบาท ให้เป็นลักซ์ชัวรีคอมมูนิตี้แลนด์มาร์กใหม่ บนถนนบางนา กม.10 ภายใต้ 4 แบรนด์โครงการหรู ไม่ว่าจะเป็น บ้านแสนสิริ, สิริณสิริ, นาราสิริ และเศรษฐสิริ เป็นต้น เสมือนการตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดอสังหาฯ ระดับลักซ์ชัวรีและซูเปอร์ลักซ์ชัวรีครับ
และนี่ก็คือภาพรวมในปีที่ 40 ของแสนสิริ ที่ยืนหยัดผ่านกาลเวลา แถมยังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ด้วยความพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ผ่านการยกระดับคุณภาพสินค้า บริการ ควบคู่ไปกับการสร้างความยั่งยืน เป็นมาตรฐานที่เค้าคอยรักษาไว้เสมอมา ซึ่งจะเป็นภูมิคุ้มกันที่จะทำให้องค์กรนี้ผ่านไปได้ทุกวิกฤติ และเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อน Ecosystem ของอสังหาริมทรัพย์ไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนร่วมกันครับ