“สิงห์ เอสเตท” เปิดทิศทางการขับเคลื่อน 4 แกนหลักสร้างธุรกิจที่สมดุล มุ่งสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนท่ามกลางเศรษฐกิจที่ท้าทาย

กรุงเทพฯ (19 พฤศจิกายน 2568) – บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) (SET: S) ผู้พัฒนาและลงทุน
ในอสังหาริมทรัพย์ระดับสากล ครอบคลุมธุรกิจโรงแรม ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพักอาศัย ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
เพื่อการค้า รวมถึงธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน ประกาศทิศทางการเติบโตภายใต้ยุทธศาสตร์ 
A Stable Foundation Drives Sustainable Growth” พร้อมเผยบทบาทและวิสัยทัศน์ของ ชัยรัตน์ ศิวะพรพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ที่เข้ามาขับเคลื่อนองค์กรด้วยปณิธาน Enriching (Your) Life” การสร้างคุณค่าให้ชีวิต

ชัยรัตน์ ศิวะพรพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ‘S’ กล่าว “ตลอดหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา สิงห์ เอสเตท มุ่งมั่นพัฒนาองค์กรสู่การเติบโตในมิติของรายได้และการขยายทรัพย์สิน ใน 4 ธุรกิจหลัก วันนี้เรากำลังก้าวเข้าสู่บทใหม่ของการขับเคลื่อนธุรกิจ ที่มุ่งเน้นการวางรากฐานของความมั่นคงทางธุรกิจ ความแข็งแกร่งในการจัดหาเงินทุน และการเตรียมความพร้อมของบุคลากร เพื่อพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง ทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ภายใต้ยุทธศาสตร์‘A Stable Foundation Drives Sustainable Growth’ เราได้วาง ‘4S’ เป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนองค์กร Stability, Strength, Synergy และ Sincerity เพื่อสร้างสมดุลให้ธุรกิจ และมุ่งมั่นพัฒนาองค์กรสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน”

จากการเติบโตทางธุรกิจ สู่การวางรากฐานที่มั่นคง ผ่าน “4S” แกนหลักในการขับเคลื่อน

Stability – “แกนการบริหารธุรกิจ” เพื่อสร้างธุรกิจที่มั่นคงและสมดุล

พอร์ตโฟลิโอของบริษัทจาก 4 ธุรกิจหลัก แบ่งรายได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ ประเภทที่มีรายได้แบบประจำ (Recurring income) จากธุรกิจโรงแรมและอาคารสำนักงาน และประเภทที่มีรายได้แบบไม่ประจำ (Non-recurring income) จากธุรกิจที่พักอาศัยและนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งรายได้แต่ละประเภทเหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน บริษัทจึงให้ความสำคัญกับการบริหารความสมดุลของรายได้ทั้งสองประเภท โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจ เผชิญความท้าทายในปัจจุบัน การจัดพอร์ตโฟลิโอธุรกิจประเภทรายได้แบบประจำถือเป็นภารกิจสำคัญอันดับแรกเพื่อสร้างฐานกำไรที่มั่นคง ช่วยหนุนผลประกอบการโดยรวม และฐานกำไรของธุรกิจนี้ยังเป็นกันชนสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจอื่น ขณะเดียวกันการกำหนดเป้าหมายชัดเจนของแต่ละธุรกิจยังมีส่วนสนับสนุนให้ผลการดำเนินงานและภาพรวมทางการเงินของบริษัทเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ

สำหรับธุรกิจที่สร้างรายได้แบบไม่ประจำ โดยลักษณะการลงทุนแล้วมีระยะเวลาการลงทุนและการรับผลตอบแทน ที่สั้นกว่า ดังนั้น โครงการที่จะลงทุนควรมีความยืดหยุ่นตามสภาวะเศรษฐกิจ และต้องมองเห็นโอกาสแม้ในช่วงเวลาที่ท้าทาย ยกตัวอย่างเช่น โครงการคอนโดมิเนียมริมแม่น้ำ “ONE RIVER พระราม 3” คอนโดหรูสูง 33 ชั้น ริมเจ้าพระยาที่ถูกพัฒนาขึ้นโดย “สิงห์ เอสเตท” จับมือ “วัน เรียลเอสเตท” ร่วมกันพัฒนา ซึ่งปัจจุบันมียอดขายกว่าร้อยละ 90 ทั้งที่การเปิดตัวโครงการอยู่ในช่วงต้นปีนี้ ซึ่งนับเป็นปีที่ท้าทายของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีการเปิดโครงการใหม่จำนวนมาก จึงเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่สะท้อนว่าพันธมิตรทางธุรกิจและการมองหาโอกาสท่ามกลางสภาวะตลาดที่ท้าทาย เป็นกุญแจสำคัญของการเติบโตในธุรกิจประเภทนี้ ดังนั้น ทิศทางการเติบโตของธุรกิจนี้ จะมุ่งเน้นไปที่การหาผู้ร่วมลงทุนเพื่อต่อยอดเชิงธุรกิจ จากความชำนาญเฉพาะทางของแต่ละฝ่ายที่สามารถเกื้อหนุนกันได้ ในเชิงการเงินก็ช่วยเสริม ความแข็งแกร่งและลดความเสี่ยงซึ่งกันและกัน

Strength – “แกนการบริหารการเงิน” เพื่อสร้างความแข็งแกร่ง

ในช่วงปีที่ผ่านมาบริษัทมีความสามารถในการระดมทุนทั้งจากเงินกู้ธนาคารและการออกจำหน่ายหุ้นกู้ รวมกว่า
10,000 ล้านบาทต่อปี โดยมีสัดส่วนเงินกู้ต่อหุ้นกู้ที่อัตรา 80:20 จุดเด่นที่ทำให้บริษัทได้รับความไว้วางใจจากทั้งธนาคารและนักลงทุนในหุ้นกู้ คือระเบียบวินัยทางการเงิน และการบริหารความสัมพันธ์ที่หลากหลายกับผู้ให้เงินทุน ในด้านเงินกู้ธนาคาร บริษัทมีเครือข่ายสถาบันการเงินที่ให้การสนับสนุนมากกว่า 10 แห่ง จากความเชื่อมั่นในศักยภาพของกลุ่มบริษัท ความเชื่อมั่นในโครงการที่พัฒนา และความสามารถในการชำระเงินต้นและดอกเบี้ย ซึ่งบริษัทได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วแม้ในช่วงเวลาที่ท้าทายที่สุด เช่น ช่วงวิกฤตโควิด-19

เช่นเดียวกันกับตลาดหุ้นกู้ แม้บริษัทจะเริ่มจัดจำหน่ายหุ้นกู้ได้เพียง 4 ปี แต่ก็สามารถระดมเงินทุนจากตลาดได้แล้ว
กว่า 10,000 ล้านบาท เป็นผลจากความไว้วางใจที่ผู้ลงทุนมีต่อบริษัท บริษัทมุ่งเน้นการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ในแต่ละปี
อย่างมีแบบแผน โดยคำนึงถึง 3 ปัจจัยหลัก คือ

  1. จำนวนเงินที่ออกจำหน่ายต้องมีความเหมาะสม สร้างความน่าเชื่อถือในการชำระคืน
  2. อัตราดอกเบี้ยที่กำหนดมีความเหมาะสมกับความเสี่ยงที่ผู้ถือหน่วยได้รับ และเหมาะสมกับสภาวะตลาด
  3. การรักษาช่องทางการจัดจำหน่ายที่หลากหลาย เพื่อเข้าถึงทั้งลูกค้าธนาคารและบริษัทหลักทรัพย์

ทั้งนี้ ช่องทางการระดมทุนจากทั้งธนาคารและหุ้นกู้มีความเหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน การรักษาสมดุลของการระดมทุนผ่านทั้ง 2 ช่องทางจึงเป็นกุญแจสำคัญสู่การสร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน โดยในเบื้องต้นบริษัทวางเป้าหมายสัดส่วนเงินกู้ธนาคารต่อหุ้นกู้ที่ 70:30 นอกจากนี้ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านระเบียบวินัยทางการเงิน แม้แต่ละหน่วยธุรกิจจะไม่มีบทบาทโดยตรงในการจัดหาเงินทุน แต่ผู้บริหารของแต่ละหน่วยธุรกิจมีเป้าหมายในการรักษาอัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญของหน่วยธุรกิจ เช่น อัตราส่วนหนี้สินต่อกำไร เพื่อให้ภาพรวมของบริษัทสามารถรักษาเสถียรภาพ และมุ่งสู่การปรับอันดับความน่าเชื่อถือให้ดีขึ้นในอนาคต

Synergy – “แกนการบริหารคน” เปิดรับมุมมองความคิดเห็นคนรุ่นใหม่

หากดูสัดส่วนบุคลากรของสิงห์ เอสเตท มีความน่าสนใจอยู่ 2 ประการคือ หากแบ่งตามช่วงอายุพบว่า กว่า 60%
ของพนักงานทั้งหมด อยู่ใน Generation Y และ Z หากแบ่งตามตำแหน่งพบว่าเกือบครึ่งหนึ่งของพนักงานทั้งหมด
อยู่ในระดับผู้จัดการขึ้นไป หรือเปรียบเทียบได้กับรูปทรงกระบอกที่องค์กรมีหัวหน้าและคนทำงานในจำนวนใกล้เคียงกัน ปัจจัยทั้ง 2 นี้จึงมีบทบาทสำคัญในการวางแผนการบริหารจัดการคน เพื่อสอดคล้องกับการวางรากฐานของธุรกิจที่มั่นคง คือ 1) ทำอย่างไรให้พนักงานใน Generation ใหม่ได้มีส่วนร่วมในการวางแผน กำหนดทิศทาง และดำเนินธุรกิจของบริษัท และ 2) ทำอย่างไรให้รูปร่างของโครงสร้างองค์กรปรับเปลี่ยนเป็นทรงพีระมิด คือให้โอกาสพนักงานที่มีประสบการณ์
ได้เติบโตขึ้นมาเป็นหัวหน้างาน ในขณะเดียวกันองค์กรก็เติมคนรุ่นใหม่เข้ามาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการทำงาน

การดำเนินธุรกิจในปัจจุบันในหลายธุรกิจไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว ผู้บริหารที่มีประสบการณ์ยาวนานก็จำเป็นต้องปรับตัวตามสภาพการณ์ปัจจุบัน ดังนั้นประสบการณ์ของคนทำงานรุ่นพี่จึงเปรียบได้กับโครงสร้างหรือแกนกระดูกที่มีส่วนสำคัญในการเป็นหลักยึดคนในองค์กรไว้ด้วยกัน มองเห็นปัญหา ความเสี่ยง และมีแนวทางป้องกันโดยอาศัยประสบการณ์การทำงานอันยาวนาน ส่วนไอเดียของคนรุ่นใหม่เปรียบได้กับล้อรถ ฟันเฟือง เทคโนโลยี หรืออุปกรณ์แกดเจ็ตต่างๆที่ล้วนเป็นจุดขาย และเป็นปัจจัยสู่ความสำเร็จของการทำธุรกิจในยุคปัจจุบันที่มีความหลากหลายมากขึ้น ตัวอย่างเช่น การทำโครงการที่พักอาศัย 1 โครงการ ในภาวะปัจจุบัน เราไม่ได้โฟกัสที่การตีตลาด 1 แสนล้านบาท ให้คนทั้งหมดชื่นชอบผลิตภัณฑ์ของเรา หากแต่อยู่ที่ว่าเราสามารถออกแบบผลิตภัณฑ์ให้ตรงใจลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย 40 – 50 คนนั้นได้หรือไม่ ดังนั้น ไอเดียจากคนรุ่นใหม่จึงมีส่วนสำคัญในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายดังกล่าว หน้าที่ของบริษัท คือการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้คนกลุ่มนี้กล้าคิด กล้าทำ และกล้าแสดงความคิดเห็น ผู้บริหารในยุคก่อนจึงควรเริ่มคำตอบด้วยการตั้งคำถาม เพื่อเปิดพื้นที่ให้เห็นมุมมองที่หลากหลาย ซึ่งจะนำไปสู่คำตอบทางธุรกิจที่เหมาะสมที่สุด

สำหรับโครงสร้างองค์กรของบริษัท การตอบโจทย์การทำงานของคนรุ่นใหม่ นอกจากการมีพื้นที่ให้แสดงความคิดเห็นแล้ว ปัจจัยเรื่องความก้าวหน้าทางอาชีพก็เป็นองค์ประกอบสำคัญต่อการตัดสินใจอยู่ร่วมงานกับองค์กร ดังนั้น การปรับรูปแบบโครงสร้างองค์กรให้ออกเป็นรูปทรงพีระมิด กล่าวคือ หากตำแหน่งบริหารขององค์กรว่างลง การหาบุคลากรทดแทน
อาจเป็นบุคลากรในระดับปฏิบัติการก็เป็นได้ เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ในองค์กรได้มีความก้าวหน้า
ในสายอาชีพ การปรับเปลี่ยนดังกล่าวอาจไม่เห็นผลสำเร็จในระยะสั้น แต่มีความจำเป็นในระยะยาว หากเราต้องการ
สร้างฐานบุคลากรคนรุ่นใหม่ ซึ่งมีสัดส่วนกว่า 60% ของบริษัท ให้เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืน

Sincerity – “แกนการบริหารจัดการความยั่งยืน” ความจริงใจต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม

ในปัจจุบัน หากกล่าวถึงการวางรากฐานธุรกิจที่มั่นคงแล้ว แกนการวางแผนธุรกิจควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อมและสังคมย่อมเป็นแกนหลักอย่างปฏิเสธไม่ได้ เพราะปัจจัยดังกล่าวเข้ามามีบทบาทสำคัญ ทั้งในแง่มุมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เช่น ลูกค้า ที่ให้ความสำคัญกับประเด็นนี้มากขึ้น เช่นเดียวกับข้อกฎหมายและข้อกำหนดต่างๆ ที่มีความชัดเจนมากขึ้นเช่นกัน สิ่งที่สิงห์ เอสเตท ให้ความสำคัญในการบริหารจัดการ ESG คือการขับเคลื่อนควบคู่ไปกับการเติบโตทางธุรกิจที่เป็นรูปธรรมและเห็นผลได้จริง ไม่มุ่งเน้นการทำกิจกรรมเพื่อสร้างภาพลักษณ์ เพราะหากเป็นกิจกรรมที่ทำเพื่อการสร้างภาพลักษณ์ ในมุมธุรกิจเราเรียกว่า “ค่าใช้จ่าย” แต่หากเป็นการสร้างสรรค์กิจกรรมที่ส่งเสริมการเติบโตของธุรกิจ ควบคู่กับการรักษาสิ่งแวดล้อมและสังคม ในมุมธุรกิจเราเรียกว่า “การสร้างรากฐานที่มั่นคง”

สิงห์ เอสเตท ได้จัดทำแผนพัฒนาอย่างยั่งยืน ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล โดยเน้นที่ผลลัพธ์ของกิจกรรมที่ทำให้สอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจ ในขณะเดียวกันก็สร้างผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรมต่อชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยเน้นการใช้ทรัพยากรมนุษย์ให้ใช้เวลาศึกษากิจกรรมนั้นๆ เพื่อให้เข้าใจผลสัมฤทธิ์อย่างลึกซึ้ง มากกว่าการใช้งบประมาณที่ทำกิจกรรมแล้วจบเป็นครั้งคราว อาทิ โครงการพื้นที่อนุรักษ์ทางทะเล ที่โรงแรม SAii Lagoon Maldives, Hard Rock Hotel Maldives และ SO/ Maldives ในโครงการ CROSSROADS ประเทศมัลดีฟส์ เราวางแผนอนุรักษ์สิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเลอย่างรอบคอบ เช่น เต่าทะเล โลมา ที่เราตรวจพบตั้งแต่ช่วงก่อสร้างโรงแรมในปี 2560 จนปัจจุบันบริเวณดังกล่าวมีฝูงโลมาประจำถิ่น ที่โลมาใช้ทั้งเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยและแหล่งเจริญพันธุ์ แหล่งโลมานี้ก็กลับมาเป็นประโยชน์ในเชิงธุรกิจที่แขกที่มาเข้าพักโรงแรมทั้ง 3 แห่งของบริษัทได้มาเยี่ยมชม

อีกตัวอย่างหนึ่งคือการขับเคลื่อนโครงการ “ปลูกป่าด้วยปลายนิ้ว” ภายใต้การดูแลของกลุ่มสิงห์ เอสเตท ในการปลูกป่าเพิ่มพื้นที่ดูดซับคาร์บอนบนพื้นที่กว่า 1,000,000 ตารางเมตร หรือประมาณ 625 ไร่ ที่ สิงห์ปาร์ค เชียงราย หากมองเป็นกิจกรรมปลูกป่าทั่วไป ก็จะกลายเป็นกิจกรรมเพื่อสังคมหรือ CSR แต่การปลูกป่าของเรา เน้นการใช้ไม้พันธุ์ถิ่นเพื่อเพิ่มอัตราการอยู่รอดของต้นไม้ที่ปลูก เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมกันนั้นเราผูกเชื่อมโยงกิจกรรมสู่ภาคธุรกิจด้วยการริเริ่มโครงการ “Green Button” ซึ่งเป็นกลไกที่เปิดโอกาสให้แขกผู้เข้าพักโรงแรมในเครือ “SAii Hotels & Resorts” ของบริษัท ได้แก่ SAii Laguna Phuket, SAii Phi Phi Island Village,SAii Koh Samui Villa และ SAii Lagoon Maldives มีส่วนร่วมในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยการกดปุ่ม Green Button ในแอปพลิเคชัน เพื่อเลือกที่จะไม่เปลี่ยนผ้าปูที่นอนในแต่ละวัน ช่วยลดการใช้น้ำ พลังงาน และสารเคมีจากกระบวนการซักรีดได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเม็ดเงินจากการประหยัดทรัพยากรเหล่านี้ จะถูกนำมาสนับสนุนการปลูกป่าในโครงการ “ปลูกป่าด้วยปลายนิ้ว” ซึ่งเป็นการสร้างการมีส่วนร่วมให้ผู้เข้าพักเกิดการท่องเที่ยว

เชิงประสบการณ์ที่เกี่ยวโยงกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมตามเทรนด์ของการท่องเที่ยวปัจจุบัน นี่คือหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าหากจะทำให้แกนการจัดการความยั่งยืนหมุนอย่างเต็มที่ ต้องเกิดจากการสร้างกิจกรรมให้สอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งแต่ละกิจกรรมอาจต้องใช้เวลาในการคิด แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาจะทำให้เกิดการเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืน ไม่ใช่ภาระค่าใช้จ่ายต่อบริษัท “ทั้งหมดนี้คือ 4 แกนหลักที่ต้องถูกขับเคลื่อนเพื่อการสร้างรากฐานที่มั่นคงของธุรกิจ การเติบโตของธุรกิจที่ยึดมั่นในความสมดุลของพอร์ตโฟลิโอ สมดุลของแหล่งเงินทุน สมดุลของการเติบโตของบุคลากร รวมถึงสมดุลของสังคม ชุมชนและสิ่งแวดล้อม ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของบริษัท ให้รองรับแรงเสียดทานที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจากสภาวะเศรษฐกิจและสังคมปัจจุบัน ท้ายที่สุดเราทุกคนมุ่งมั่นที่จะหาความสมดุลของทั้ง 4 แกน เพื่อให้สิงห์ เอสเตท ได้ตอบแทนไปสู่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนของบริษัท และได้ ‘สร้างคุณค่าให้ชีวิตของคุณ’ ตามปรัชญาการดำเนินธุรกิจของเราอย่างแท้จริง” ชัยรัตน์ กล่าวทิ้งท้าย