ความใจฟูเวลาพาน้องวิ้งกี้ไปงาน

“พี่ขอกอดน้องหน่อยได้ไหมคะ เหมือนลูกสาวเลย”

​นอกจากน้ำเสียงที่ดูสดใสและอ่อนโยน ผมยังได้เห็นแววตาเป็นประกายของผู้ถาม แล้วก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่มันลึกซึ้งยิ่งไปกว่านั้น พี่เค้าพูดพลางเปิดรูปน้องหมาในมือถือให้ผมดู เห็นแล้วก็ใจเหลวเหมือนกันเพราะทั้งสีและหน้าตาละม้ายคล้ายน้องวิ้งกี้มาก

​“ได้เลยครับพี่” ผมตอบด้วยความยินดี แม้น้องวิ้งกี้จะออกแนวเก็บตัวนิดนึงแต่ท่าทีของพี่เค้าที่เข้ามาอย่างละมุนละม่อมทำให้น้องไม่ตื่นตกใจอะไร

​พี่เค้ารับน้องวิ้งกี้เค้าไปกอดและหอมอย่างอบอุ่น แล้วก็บอกผมว่า

​“น้องเค้าอยู่กับพี่มาสิบกว่าปี แต่น้องเสียไปแล้วค่ะ”

​ณ วินาทีนั้นใจผมวูบลงไปอยู่ที่พื้นเลย เข้าใจแล้วว่าทำไมอ้อมกอดที่เห็นตรงหน้าจึงเหมือนคนที่พลักพรากแบบไม่มีวันกลับ ได้มาพานพบกันอีกครั้งหนึ่ง อ้อมกอดที่เหมือนจะอยากหยุดเวลาไว้ให้นานตลอดชีวิต และการหอมแก้มที่เหมือนจะไม่สามารถทำได้อีกแล้ว คือทุกอย่างที่ผมรับรู้ได้ในทันที

​ครับ ผมเข้าใจเลยว่า ถ้าถึงเวลาของน้องวิ้งกี้บ้างที่ต้องจากไป ผมก็คงไม่ต่างกันแม้แต่น้อย นี่แค่นึกภาพตามก็ยังทำใจไม่ได้

​ผมอยากบอกทุกคนว่า ถ้าเจอน้องวิ้งกี้ที่ไหน และน้องสามารถฮีลใจให้ใครได้ สามารถเข้ามาพูดคุยเล่นกับน้องได้เลยนะครับ เพียงแต่น้องอาจจะไม่ใช่หมา Extrovert ที่เข้าไปเล่นกับใครก่อน ต้องใช้เวลาและค่อยๆ เข้าหาน้องนิดนึง แต่ผมและน้องยินดีเสมอเลยครับที่จะได้แบ่งปันความสุขในหัวใจกับคนที่รักและเลี้ยงน้องเหมือนลูกเช่นกัน

​เพราะในตอนที่เรายังมีเค้าอยู่ข้างกาย คือช่วงเวลาล้ำค่าที่เราจะเก็บไว้ในหัวใจตลอดไป ❤️