เมื่อช่วงสายที่ผ่านมาแสนสิริได้แถลงแผนปี 64 ด้วยรูปแบบ Live (ซึ่งเราได้แชร์ไปโพสต์ก่อนหน้าให้คนที่พลาดกลับไปชมกันได้ครับ) ในรอบนี้เราได้ฟังวิสัยทัศน์ใหม่ของแสนสิริ ที่มาด้วยการตั้งเป้าประจำปี 2564 ว่า “ปีแห่งความหวัง” (The Year of Hope) ที่ไม่ใช่แค่ความหวังของแสนสิริ แต่เป็นความหวังของลูกค้า สังคม และคนไทยทุกคน
สำหรับผมนี่ดูน่าสนใจไม่น้อย เพราะการรับฟังเป้าหมายของบริษัทต่างๆ ว่าตัวเองต้องการจะเป็นอะไรในเชิง inside-out มันก็คงไม่เกี่ยวอะไรกับชีวิตเรามากนัก ในครั้งนี้เป็นตัวอย่างการ empathy ของบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ตั้งเป้าหมายโดยมองจาก outside-in ได้เป็นอย่างดี
ผมขอสรุป Key Facts จากผลงานของแสนสิริในปีที่ผ่านมากันให้พอเห็นภาพ ยอดโอนโครงการที่อยู่อาศัยทุกประเภทที่สร้างเสร็จและส่งมอบให้กับลูกค้าสูงถึง 45,000 ล้านบาท โตขึ้นจากปีก่อนหน้า 45% สร้างประวัติศาสตร์การโอนที่สูงสุดในรอบ 36 ปีของแสนสิริ สิ่งนี้สำเร็จได้จากการยึด 3 แกนหลัก คือ
Speed to Market ปรับตัวให้เร็วและทันต่อสถานการณ์ // Customer Centric Strategy กลยุทธ์การตลาดแข็งแกร่งด้วยแคมเปญที่พัฒนาจาก Customer insight จริงๆ // Cash Flow Strategy การบริหารจัดการสต็อคที่อยู่อาศัย เพื่อหมุนกลับมาเป็นเงินสดในมือ (Cash is King) เพื่อลดอัตราหนี้สิน และสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินเป็นภูมิคุ้มกัน
ผมเชื่อว่าปีที่ผ่านมาหลายคนก็คงได้เห็นการปรับตัวด้านราคา และโปรโมชั่นจัดเต็มอย่างรวดเร็ว ซึ่งสำหรับลูกค้าแล้วนั่นเป็นโอกาสในการซื้อของราคาเหมาะสมแบบคู่แข่งยังไม่ทันตั้งตัวเหมือนกัน
สิ่งที่ผมเองสัมผัสได้และชื่นชมก็คือ การปรับปรุงโครงการที่แม้จะ Sold out ให้รองรับกับสถานการณ์ด้วย ทั้งการเข้าออกโครงการที่ลดการสัมผัสมากขึ้น การติดอุปกรณ์ที่ช่วยจัดการเชื้อไวรัส และเรื่องอื่นๆ ซึ่งต้องอาศัยเม็ดเงินปรับปรุงทั้งนั้น
ทั้งหมดนี้ก็ทำให้ปี 2563 แสนสิริโตสวนกระแส แม้จะเป็นปีที่ยากลำบากของทุก Sector แต่ก็ประสบผลสำเร็จในเชิงการบริหารจัดการได้เป็นอย่างดี
ในปี 2564 นี้แสนสิริยังมองว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย ก็จะเติบโตในทิศทางเดียวกับ GDP ประเทศ แต่แน่นอนว่าสภาพการณ์แบบนี้ กำลังซื้อก็คงจะยังไม่กลับมาง่ายๆ และถ้าไม่มีการซื้อขายบ้าน ธุรกิจเกี่ยวเนื่องหลายอย่างจะกระทบทั้งหมด บริษัทจึงอยากให้รัฐสนับสนุนโดยใช้มาตรการกระตุ้นในวงกว้าง รวมถึงสนับสนุนการเพิ่มกำลังซื้อของคนหาที่อยู่อาศัย เช่น การออกมาตรการดอกเบี้ยถูกให้คนอยากมีบ้านหลังแรกสามารถเป็นไปได้
วิสัยทัศน์ในปีนี้ของแสนสิริจึงตั้งไว้ว่า
“2564 ปีแห่งความหวัง” (The Year of Hope)
ความหวังในที่นี่เริ่มจาก
1. ความหวังในการมีบ้านของคนไทย – ด้วยการพัฒนาโครงการให้หลากหลาย เรียกว่าครบทุกระดับราคา แต่ที่น่าจับตาคือการเปิดตัวแบรนด์ใหม่ 3 แบรนด์ ได้แก่ Affordable Condominium Segment ใหม่ ในราคาเริ่มต้นล้านกว่าๆ ในทำเล รัชดา, รามคำแหง, เกษตรฯ และบางนา ซึ่งเป็น Segment ที่แสนสิริไม่ได้ทำมาหลายปีแล้ว “SIRI Residence” New Segment ทาวน์โฮมพรีเมี่ยม บนที่ดินผืนใหญ่หายากกลางใจเมือง และการเปิดตัว “BuGaan” แบรนด์บ้านเดี่ยว 3 ชั้น ราคา 30-80 ล้านบาท ในทำเลโยธินพัฒนา ที่มีเพียง 14 ยูนิตเท่านั้น
2. ความหวังในการเสริมความแข็งแกร่งของแสนสิริ – ด้วยการเดินหน้ากลยุทธ์ที่ทำให้ประสบความสำเร็จในปีที่ผ่านมา เมื่อแสนสิริมีความแข็งแกร่งด้านการเงิน ก็เป็นโอกาสในการเลือกซื้อสินทรัพย์ที่ผู้ประกอบการรายกลาง-เล็กนำออกขายเพื่อให้อยู่รอดไปได้ด้วยกัน
3. ความหวังในการคืนรอยยิ้มสู่ครอบครัวแสนสิริและสังคม – ด้วยความเข้าใจลูกค้า และขยายไปสู่การเป็นแบรนด์ที่ทุกคนเข้าถึงได้ในตลาด Mass Market การดูแลด้านความปลอดภัยของลูกค้า และรักษาบริการหลังการขายที่ดีด้วยแนวคิด บ้านต้องให้มากกว่าบ้าน
เขียนไปเขียนมา ก็ยาวเลย แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดก็คือ ในสภาวะเศรษฐกิจ และสังคมที่ได้รับผลกระทบโดยทั่วกันแบบนี้ ไม่มีบริษัทไหนหรอกครับที่จะอยู่รอดได้อย่างยั่งยืนด้วยแนวคิดที่เราชนะคนเดียว เอาตัวรอดคนเดียว ไม่ค่อยอยากใช้คำแบบ เราชนะ ฟังแล้วเลี่ยนไปหน่อย ฮ่าๆ แต่ก็นั่นแหละครับ หากจะอยากให้สิ่งที่ทำในวันนี้ติดตัวต่อไปข้างหน้า ก็ต้องคิดธุรกิจแบบชนะไปด้วยกัน เกื้อกูลกัน เพราะสิ่งที่คุณทำไว้ในช่วงเวลายากลำบากแบบนี้..
ลูกค้าจะไม่มีวันลืม
#LivingSneakPeek #Sansiri #TheYearofHope