แอบดูคอนโด Landmark @ Grand Station by Siamese Asset ใกล้แฟชั่นไอส์แลนด์ รามอินทรา ตอบโจทย์ทั้งอยู่เอง, ปล่อยเช่า, คนรักน้องหมา, อยู่กับคุณปู่คุณย่า หรือว่าจะลงทุน เริ่ม 1.98 ล้านบาท
วันนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับโครงการที่เกิดจากแนวคิดการกระจายความเจริญของเมืองไปสู่พื้นที่ต่างๆ ด้วยลักษณะของ Mixed Use ที่มีทั้งโซนอยู่อาศัย โซน Retail ออฟฟิศ และศูนย์ประชุม โดยเค้าเลือกทำเล “รามอินทรา” ซึ่งนอกจากจะเป็นย่าน Residential Area ที่ค่อนข้างสงบแล้ว ยังได้รับประโยชน์จากการขยายตัวของแนวรถไฟฟ้าสายสีชมพูอีกด้วยครับ
ทำเลและการเดินทาง
โครงการนี้ตั้งอยู่บนถนนรัชดา-รามอินทรา ซึ่งเชื่อมต่อระหว่าง ถ.ประเสริฐมนูญกิจ และ ถ.รามอินทรา โดยมี ทางพิเศษกาญจนาภิเษก (วงแหวนตะวันออก) ถ.นวลจันทร์ และ ถ.นวมินทร์ตัดผ่าน คนขับรถสามารถใช้ทางพิเศษฉลองรัชเข้าไปทำงานใจกลางเมืองได้ ส่วนคนอยากใช้รถไฟฟ้าไม่เกินปีหน้าก็จะได้ใช้รถไฟฟ้าสายสีชมพู สถานีวงแหวนตะวันออก (วงแหวนรามอินทรา) ในระยะประมาณ 400 ม. ส่วนใครอยากไปไกลกว่านั้น จากนี่ใช้เวลาไปสนามบินสุวรรณภูมิราว 20 นาทีได้ครับ
ความอุดมสมบูรณ์ในระยะใกล้เคียงของแถวนี้ ก็คือ ห้างอย่าง Fashion Island, The Promenade, Max Value และ Tesco Lotus สำนักงานใหญ่ ให้จับจ่าย เขยิบไปสักหน่อยก็โซนเลียบด่วนรามอินทราที่มีห้างและร้านอาหารมากมาย มีโรงพยาบาลในระยะเดินทางสะดวกอย่าง รพ.นพรัตน์ราชธานี, รพ.สินแพทย์ มีแหล่งพักผ่อนหย่อนใจใกล้เคียงอย่างสนามกอล์ฟปัญญา สยามอะเมซิ่งพาร์ค และ Safari World รวมทั้งมีสถานศึกษาอย่าง รร.เลิศหล้า และรร.บดินทรเดชา 2 ในระยะเดินทางได้สะดวกครับ
ภาพรวมโครงการ
โครงการ Landmark @ Grand Station by Siamese Asset นี้ สูง 23 ชั้น ประกอบด้วย 2 ทาวเวอร์ ที่ตั้งอยู่บนโครงสร้างเดียวกัน ฝั่งนึงจะเป็นโซนของ Cassia Residences ซึ่งเป็นที่พักอาศัยแบบ Branded Residence ที่บริหารจัดการแบบโรงแรม อีกฝั่งนึงก็คือส่วนของ Siamese Residence หรือคอนโดที่เราจะพาชมกัน ทั้ง 2 ทาวเวอร์นี้จะแยกออกจากกันชัดเจน และด้วยความเป็นรูปแบบ Mixed Use นอกจากโซนพักอาศัยแล้ว ที่นี่ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่รองรับธุรกิจมากมาย ไม่ว่าจะเป็นห้องประชุม จัดสัมมนา ออฟฟิศให้เช่า พื้นที่ส่วน Retail ทั้งร้านค้า ร้านอาหาร และ Pet Shop เอาใจคนรักสัตว์เลี้ยงแบบครบวงจรอีกด้วยครับ
ตัวโครงการตั้งอยู่บนพื้นที่ 4 ไร่กว่า เฉพาะโซน Siamese Residences นี้ มีที่พักอาศัยรวม 456 ยูนิต จุดเด่นคือ ทุกห้องเป็นห้องสไตล์ Duplex เพดานสูง 4.15 ม. มีพื้นที่ใช้สอย 2 ชั้น ดังนั้นทุกคนก็จะมีห้องอเนกประสงค์เพิ่มขึ้นมาเพื่อที่จะใช้ปรับเปลี่ยนไปตามไลฟ์สไตล์ที่ชอบ ห้องที่นี่มีทั้ง แบบ 1 ห้องนอน และ 2 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 38.5 – 54 ตร.ม. โดยโครงการพัฒนามาตอบโจทย์ผู้อยู่ ถึง 4 รูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น
- Residential Zone ห้องพักที่มีห้องอเนกประสงค์ตอบรับความต้องการไม่ว่าจะทำเป็นห้องนอนเพิ่มอีก 1 ห้อง หรือ ห้องพักผ่อน, ห้องทำงาน หรือสายเกมเมอร์ให้ตกแต่งตามใจ
- Pet Lover Zone (เฉพาะชั้น 4-5) เป็นโซนพิเศษที่สามารถเลี้ยงสัตว์ได้ โดยมีลิฟต์ส่วนตัวเฉพาะแยกความเป็นสัดส่วน
- Co-Living Zone (เฉพาะชั้น 8-9) โซนนี้จะมีระยะเพดานสูงกว่าชั้นอื่นที่ 4.9 ม. รองรับการอยู่อาศัย 2 คน แบบอยู่กันคนละชั้นโดยมีความเป็นส่วนตัว ซึ่งก็จะเปิดโอกาสในการลงทุนห้องเดียวแต่สามารถหาผู้เช่า 2 คนได้
- Elder Zone ห้องพักที่ได้รับการออกแบบพิเศษเพื่อผู้สูงอายุ โดยการปรับเปลี่ยนพื้นชั้นล่างให้เรียบเสมอกันทั้งหมด ประตูห้องน้ำมีขนาดใหญ่ขึ้น และมีอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยภายในห้องน้ำเป็นพิเศษ เพื่อการดูแลผู้สูงวัยอย่างสบายใจครับ
สิ่งอำนวยความสะดวกเฉพาะส่วนคอนโด ได้แก่ ล็อบบี้, สวน, ฟิตเนส, สระว่ายน้ำ ในราคา Pre-Sale เริ่มต้นที่ 1.98 ล้านบาทครับ ใครที่สนใจก็คลิกลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษจากโครงการได้ที่นี่ >> https://bit.ly/3fCrdXA
และเค้าจะเปิดจองครั้งแรกในงาน Exclusive Day Pre-Sale วันที่ 26 มิ.ย. 2564 นี้ครับ
รายละเอียดห้องต่างๆ จะเป็นยังไง ตามไปชมพร้อมๆ กับพวกเราได้เลยครับ
#Livingsneakpeek #SneakReview #แอบดูคอนโด
#SiameseAsset #Landmark@GrandStationbySiameseAsset
เริ่มต้นกันที่สำนักงานขาย ที่ตั้งอยู่บริเวณหน้าไซต์โครงการเลยครับ เค้าทำมาสวยงามอลังการ เพราะมีห้องตัวอย่างให้เลือกชมถึง 6 ห้อง ซึ่งแต่ละห้องมีขนาดและสไตล์การตกแต่งที่แตกต่างกัน ทำให้เราได้มองเห็นไอเดียการจัดวางเฟอร์นิเจอร์ หรือการใช้งานและประโยชน์ในรูปแบบต่างๆ ได้อย่างชัดเจน ซึ่งการมีห้องให้เลือกชมหลากหลายแบบนี้ผมว่าช่วยเรื่องการตัดสินใจได้เยอะเลยนะครับ
(แผนที่สำนักงานขาย: https://goo.gl/maps/CeYVk4wiGD2ptntJ7)
ห้องตัวอย่างห้องแรกเป็นห้อง Type: Eco ขนาด 39.5 ตร.ม. ซึ่งอย่างที่บอกว่าห้องที่นี่เป็นแบบ 2 ชั้น ความสูงเพดานมาตรฐานจะอยู่ที่ 4.10 ม.เลยทีเดียวครับ ทำให้พื้นที่ส่วนด้านล่างนั้นดูโปร่ง โล่งสบายมากขึ้น
ทางโครงการขายแบบ Fully Fitted มีการติดตั้งห้องน้ำ ตู้เสื้อผ้า แอร์ และให้วอลเปเปอร์มาเรียบร้อยครับ ส่วนครัวถูกดันไปอยู่ด้านนอกระเบียง ทำให้เราสามารถใช้งานพื้นที่ด้านในห้องได้อย่างเต็มที่มากขึ้น
เข้ามาในส่วนแรกจะเป็นพื้นที่ห้องนั่งเล่น ทางโครงการจัดวางให้ดูว่า เราสามารถวางโซฟาตัวยาวแบบ 3-4 ที่นั่งได้เลย ติดทีวีพร้อมทำชั้นวางของไว้ตรงผนัง ก็จะช่วยประหยัดเนื้อที่ได้มากขึ้น ส่วนโต๊ะกาแฟ ถ้าเราไม่วางไว้ตรงกลางแล้วปรับให้ไปอยู่ด้านข้างแทน พื้นที่ทางเดินก็จะดูกว้างและเดินได้สะดวกขึ้นอีก
ห้องน้ำอยู่ด้านล่างสามารถเข้า-ออกใช้งานได้สะดวก ช่องเก็บของ โทนสีกระเบื้อง และชุดสุขภัณฑ์ทั้งหมดได้ตามนี้เลย ยกเว้นแต่ฉากกั้นเปียกแห้ง ที่เราสามารถติดเองทีหลังได้ เข้ามาในห้องน้ำแบบนี้แล้ว ก็ขอพูดถึงหนึ่งใน Siamese Technology ที่โครงการนำมาปรับใช้ เพื่อเป็นตัวช่วยการอยู่อาศัยของลูกบ้านที่นี่ อย่างเช่น ระบบ Air Ventilation ช่วยหมุนเวียนอากาศ เอาอากาศดีเข้า – อากาศเสียออก ช่วยในเรื่อง PM 2.5 ได้เป็นอย่างดี ระบบที่ช่วยลดปัญหากลิ่นเหม็นกวนใจจากห้องน้ำ ทางโครงการเค้าแยกท่อน้ำทิ้งทั่วไปออกจากท่อน้ำทิ้งชักโครก ทำให้เวลาใช้งานในห้องน้ำ ไม่ว่าตอนกำลังล้างหน้าหรืออาบน้ำร้องเพลงเพลินๆ เราจะไม่ได้กลิ่นจากท่อระบายหรือชักโครก ลอยมาเตะจมูกให้หมดอารมณ์เลยครับ
ถัดเข้ามาเป็นส่วนรับประทานอาหาร อาจจะมีข้อจำกัดเนื่องด้วยห้องนี้เป็นแบบตอนลึก การวางโต๊ะทานข้าวชิดริมกำแพงจึงดูเหมาะสม และใช้งานได้ง่ายสุด เพราะหัวใจของการอยู่คอนโดคือความสะดวกสบาย ดังนั้นถ้าสามารถจัดวางเฟอร์นิเจอร์ได้ครบ ใช้งานง่าย และประหยัดเนื้อที่ ก็ถือว่าตอบโจทย์การอยู่อาศัยแล้วหล่ะครับ
โครงการนี้วาง Layout ให้ครัวไปอยู่ด้านนอกที่ระเบียงทั้งหมดเลยครับ ซึ่งเสี่ยงต่อความหิวของห้องข้างๆ มาก ฮ่าๆ
โดยเลือกใช้วัสดุพื้นกระเบื้องเซรามิคปูแบบตาข่ายเพื่อให้ระบายน้ำลงด้านล่าง เพื่อให้พื้นดูสวยงามอยู่เสมอ โดยเค้าได้ทำ ส่วน Overflow ป้องกันน้ำไหลเข้าห้องให้อีกชั้นหนึ่งด้วย
ใครต้องการพื้นที่ทำอาหารแบบครบๆ ก็ลองเลือกใช้ชุดครัวที่คุณภาพวัสดุรองรับต่อการใช้งานนอกระเบียงแบบนี้กันดูครับ ส่วนเครื่องซักผ้าก็สามารถติดตั้งไว้บริเวณนี้ได้เช่นกัน
อีกหนึ่งความน่าสนใจคือห้องนี้เลย โครงการเค้าทำพื้นที่เหมือนเป็น Multi-Purpose Space คือให้เราเลือกรังสรรค์ห้องนี้ไว้ทำกิจกรรมอะไรก็ได้ตามต้องการ อย่างห้องนี้แต่งมาตอบโจทย์ครอบครัวขยายที่กำลังมีลูกน้อย สามารถทำเป็นห้องเด็ก ที่วางได้ทั้งเตียง ทั้งโต๊ะเขียนหนังสือ ของเล่น หรือมุมวาดรูปต่างๆ ซึ่งเอาจริงๆ เพิ่ม Sofa Bed สักตัวเอาไว้ให้คุณแม่มานอนเป็นเพื่อนคุณลูกก็ยังพอครับ
เพื่อไม่ได้เกิดความรู้สึกอึดอัด เค้าทำหน้าต่างไว้เป็นช่องแสงให้ห้องดูโปร่งและสว่างขึ้นไว้เป็นที่เรียบร้อย
ถัดมาเดี๋ยวเราขึ้นไปชมด้านบนกัน
ขึ้นมาข้างบนน่ารักเชียวครับ ตรงนี้จะเป็นห้องนอนที่สามารถวางเตียงขนาด 5 ฟุตได้ มีพื้นที่ด้านข้างเตียงค่อนข้างพอดีนะครับ วางโต๊ะหัวเตียงเข้าไปแล้วยังดูไม่เกะกะ ด้านล่างได้แอร์หนึ่งตัวและด้านบนได้อีกหนึ่งตัวเช่นกันครับ
ราวกันตกและพื้นบันไดให้มาแบบนี้ครับ ซึ่งใครต้องการความเป็นส่วนตัวอยากกั้นห้องไปเลยได้มั้ย…ทำได้ครับ เดี๋ยวผมจะพาไปดูในห้องตัวอย่างห้องอื่น
จะเห็นว่าฝั่งตรงข้ามยังมีพ
และนี่ก็เป็นห้องตัวอย่างห้องแรกของโครงการนี้ สะดุดตาและน่าสนใจดีมั้ยครับ
มาต่อกันเลยที่ห้อง Type: Eco ขนาด 39.5 ตร.ม. เช่นเดียวกัน รูปแบบห้องคล้ายๆ กับห้องแรกเลยครับ
การใช้งานคล้ายกัน แต่ต่างตรงพื้นที่ห้องอเนกประสงค์ภาพถัดไป
ที่เค้าทำเป็นห้องของน้องหมาน้องแมว…ใช่แล้วครับ โครงการนี้เลี้ยงสัตว์ได้!!
แถมความพิเศษคือชั้น 4-5 เค้ายกให้เป็นชั้นสำหรับ Pet Lover เลย มีลิฟต์แยกออกจากผู้พักอาศัยท่านอื่นชัดเจน ตัวโครงการยังมีพื้นที่สวนให้สัตว์เลี้ยงของเราได้ออกไปวิ่งเล่นกันด้วย และในอนาคตก็จะมีส่วนของ Pet Shop หรือ Grooming ในโซน Retail ที่ชั้น 1 ให้ด้วยจะได้ไม่ต้องออกไปวิ่งวุ่นหาซื้ออาหารให้เหนื่อยเลย
ส่วนใครกังวลว่าเสียงร้องของลูกรักเราจะรบกวนเพื่อนบ้าน ก็หมดกังวลได้เพราะอีกตัวช่วยหนึ่งที่โครงการทำไว้ให้คือ ระบบ Soundproof Technology System ประตูทำจากไม้โซลิดเนื้อแข็ง ทนทาน พร้อมทั้งมี Door Seal และลิ้นประตูระบบอัตโนมัติ สามารถลดทอนและดูดซับเสียงได้อย่างดี รวมถึงผนัง Insulated Wall ที่จะช่วยป้องกันเสียงรบกวนจากด้านนอกเข้ามาสู่ห้องของเราได้ครับ…แบบนี้คนมีเลี้ยงสัตว์ค่อยอุ่นใจหน่อยเนอะ
ครัวอยู่ด้านนอกเช่นเดิม และขึ้นมาด้านบนเป็นพื้นที่ห้องนอน มีกระจกบานใหญ่ให้เราเปิดกว้างชมวิว รับแสงเข้าห้องได้เต็มที่
เช่นเดียวกันครับ สามารถเชื่อมต่อไปยังพื้นที่แต่งตัวและห้องน้ำ ให้คนที่อยู่ชั้นบนได้ใช้งานง่ายๆ ไม่ต้องลงไปข้างล่างให้ปวดเข่า
และห้องนี้น่าสนใจมากเพราะเป็นห้อง Type : Co-Living ขนาด 42 ตร.ม. ที่ไซมิสเค้าลองทำขึ้นประเดิมที่นี่ที่แรก ซึ่งตรงตัวเลยครับ Co-Living คือคนสองคนสามารถอยู่ร่วมกันได้โดยไม่รบกวนกันและกัน อ่ะ งงหล่ะสิ ก็คือตั้งแต่ตรงนี้จะมีประตูแยกกันเลยครับ ด้านล่างประตูนึง ก่อนขึ้นบันไดก็อีกประตูนึง ผนังก็ใช้เป็นผนังทึบ ทำให้ทั้ง 2 ชั้น มีความเป็นส่วนตัวแยกออกจากกัน
ชั้นล่างเข้ามาเป็นพื้นที่ห้องนั่งเล่นที่ค่อนข้างกว้างพอสมควร มาพร้อมแอร์ 1 ตัว
ถัดออกไปเป็นครัว ซึ่งอยู่ด้านนอกเช่นเคย
ห้อง Type นี้ได้แรงบันดาลใจจากญี่ปุ่นสไตล์ Wabi Sabi คือการใช้พื้นที่ในทุกส่วนให้เกิดประโยชน์คุ้มค่า สวยงามและดูเรียบง่าย อย่างใครที่เลือกห้องด้านล่าง ก็จะได้ฟังก์ชั่นการอยู่อาศัยครบครัน มีห้องน้ำในตัว พร้อมตู้เสื้อผ้าบิวท์อินมาให้เรียบร้อย
แอบเห็นบันไดอยู่หน้าห้องเมื่อกี้ เราขึ้นไปดูชั้นบนกันครับ
ด้านบนก็เป็นอีกหนึ่งห้องนอน พร้อมแอร์ 1 ตัว มีทั้งห้องน้ำ มีมุมทำงาน และมีพื้นที่ให้ได้ใช้งานเพียงพอครับ
ห้องนี้เค้าสร้างไอเดียใหม่
ห้องตัวอย่างที่ 4 เป็น Type: FLEXI ขนาด 38.5 ตร.ม. ห้องนี้เป็นรูปแบบหน้ากว้าง จะได้พื้นที่ห้องนั่งเล่นเยอะหน่อยครับ โต๊ะทานข้าวขยับมาอยู่ชิดฝั่งประตู และให้ส่วนนั่งพักผ่อนเป็นพื้นที่ตรงกลางติดกับระเบียงได้ชมวิว
ห้องน้ำอยู่ด้านล่าง ขยับไปอยู่ส่วนหลังบันไดครับ
ห้องนี้เค้าจัดห้องอเนกประส
ขึ้นมาด้านบนตรงนี้จะดูเป็นส่วนตัวมากขึ้น
เชื่อมต่อไปยังส่วนแต่งตัวและห้องน้ำได้เช่นเดียวกันครับ
ขยับมาเป็นห้อง Type: Grand ขนาด 49.5 ตร.ม. ห้องนี้แต่งมาโทนเรียบหรู ดูแมนๆ เพราะเค้าใช้โทนเข้มตัดกับทอง การบิวท์ตู้ โต๊ะ หรือโทนสีเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ก็จะพอเป็นไอเดียให้เรามองภาพห้องที่กำลังจะเลือกชัดมากขึ้นครับ
สำหรับห้องนี้ก็จะมีพื้นที่กว้างขวาง โต๊ะทานข้าวจัดวางสำหรับ 4-5 ที่นั่งได้แบบสบายๆ
ห้องด้านล่างเนรมิตเป็นห้อง
และนี่เป็นตัวอย่างห้องที่กั้นแบ่งห้องนอนด้านบน ให้ดูเป็นสัดส่วน และเป็นส่วนตัวได้มากขึ้นครับ จึงเห็นได้เลยว่า รูปแบบห้องค่อนข้างยืดหยุ่น และปรับให้เข้ากับการใช้ชีวิตของแต่ละคนได้
ซึ่งห้องนี้ก็จะได้ตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่ขึ้น มีมุมให้แต่งหน้า จัดเก็บกระเป๋า เครื่องสำอาง ของใช้ต่างๆ ได้มากขึ้นด้วยครับ
เราจะพาไปดูห้องตัวอย่างห้อ
เข้ามาด้านในห้องน้ำ ก็จะเห็นอุปกรณ์ราวจับเพื่อความปลอดภัยอยู่รายรอบ แถมทางเดินในส่วน Shower ก็ยังทำเป็น Slope ไว้สำหรับรถเข็นอีกเช่นเคย โดย Floor Drain เค้าจะปรับไปอยู่บริเวณทางเข้าประตูแทน เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำไหลออกไปสู่ห้องนั่งเล่น
ห้องอเนกประสงค์ชั้นล่างก็ทำเป็นห้องนอนผู้สูงอายุไปด้วยเลยได้ครับ ด้วยความที่พื้นที่ห้องใหญ่ และที่เห็นอุปกรณ์ติดผนังตรงนั้นก็คือ อีกหนึ่งเทคโนโลยีที่เค้านำมาใช้ดูแลอากาศภายในห้อง ทำหน้าที่ทั้งฟอกอากาศ และควบคุม Air Ventilation ให้อากาศได้หมุนเวียนถ่ายเท เพื่อออกซิเจนที่เพียงพอครับ
นอกจากโครงการนี้เค้าจะนำระบบที่ช่วยลดเรื่องของอากาศบริสุทธิ์ กลิ่น และเสียงเข้าสู่ภายในห้องแล้วยังเรื่องของ Heat Resistance ที่เค้าติดตั้งกระจก “Energy Saving Glass” ช่วยลดความร้อนจากภายนอกอาคาร ส่งผลให้ภายในเย็นสบาย ลดการใช้พลังงานและประหยัดค่าไฟของลูกบ้านได้ รวมไปถึงมีระบบ Home Automation ที่เค้าเตรียมพัฒนาขึ้นในอนาคตให้เราได้ใช้ควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในห้องได้อย่างสะดวกและง่ายดายมากขึ้น และสุดท้ายคือเรื่องของการบำรุงรักษา ที่โครงการได้วางระบบเดินท่อให้ง่ายต่อการซ่อมบำรุงภายในห้องพัก เดินระบบแบบท่อเดียวจบภายในชั้น ไม่ต้องคอยไปรบกวนลูกบ้านห้องอื่นเวลาต้องการซ่อมแซมครับ
อีก 3 ปีในอนาคต ย่านรามอินทราแห่งนี้ก็จะมี Landmark แห่งใหม่ที่น่าสนใจเกิดขึ้น ที่ๆ เป็นมากกว่าที่พักอาศัยแต่เป็นเสมือนศูนย์รวมแหล่งไลฟ์สไตล์ และสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย มาอยู่ด้วยกัน นอกจากจะได้บ้านที่อยู่สบาย ง่ายต่อการเดินทาง ยังมีพื้นที่จัดเลี้ยง ห้องประชุม ร้านค้า ร้านอาหารที่มีมาเสิร์ฟถึงที่ และด้วยรูปแบบห้องที่หลากหลาย จึงตอบโจทย์การใช้ชีวิตที่แตกต่าง ในทุกช่วงวัยอีกด้วย
เมื่อเราเข้าสู่ยุค New Normal เช่นนี้ การมีพื้นที่ที่น่าอยู่ อุ่นใจ ปลอดภัยไร้กังวล แถมยังสร้างสรรค์ประโยชน์ในแต่ละวันของชีวิตได้อีกมากมายก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจนะครับ ใครที่คิดว่าโครงการ Landmark @ Grand Station By Siamese Asset จะสามารถมาตอบโจทย์สิ่งเหล่านี้ได้ ก็ลองแวะเข้าไปเยี่ยมชมกันได้ ตอนนี้ราคา Pre – Sale เริ่มต้นที่ 1.98 ล้านบาท ครับ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร 1306 หรือ Line @ : @siamesecorp ลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิ์พิเศษกันได้ที่นี่เลย >> https://bit.ly/3fCrdXA
แผนที่โครงการ แปะเอาไว้ข้างล่างในคอมเมนต์