บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC บริษัทพัฒนาและบริหารโครงการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำในเครือ TCC Group ที่มุ่งเน้นตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์แบบครบวงจรในประเทศไทย ด้วยพอร์ตโฟลิโอการลงทุนที่หลากหลายในทำเลที่ดีเยี่ยม ประกาศแผนขายหุ้นสามัญต่อประชาชนครั้งแรกหรือไอพีโอ จำนวนไม่เกิน 8,000 ล้านหุ้น
โดยแบ่งเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนประมาณ 6,957 ล้านหุ้น และอาจมีการจัดสรรหุ้นส่วนเกินไม่เกิน 1,043 ล้านหุ้น พร้อมกำหนดราคาเสนอขายหุ้นที่ 6.00 บาทต่อหุ้น โดยมีการนำเสนอข้อมูลให้กับนักลงทุน (โรดโชว์) ในวันพุธที่ 11 กันยายนนี้ เปิดให้นักลงทุนทั่วไปจองซื้อหุ้นได้ในระหว่างวันที่ 25-27กันยายนนี้ ด้านผู้บริหารตั้งเป้าระดมทุนเพื่อสนับสนุนศักยภาพและต่อยอดการเจริญเติบโตของบริษัทฯ ทั้งในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ (Hospitality) และกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ (Retail & Commercial Building) ในประเทศไทย เพื่อรองรับการเติบโตของภาคการท่องเที่ยวและการขยายตัวของเขตเมือง
นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “แอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น หรือ AWC มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับการพิจารณาอนุมัติการเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก หรือ IPO จากสำนักงาน ก.ล.ต. โดย AWC พร้อมเดินหน้าเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 6,957 ล้านหุ้น คิดเป็นไม่เกินร้อยละ 22.47 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังจากการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ (ไม่รวมการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน) และอาจมีการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน (Overallotment Option หรือ Greenshoe) จำนวนไม่เกิน 1,043 ล้านหุ้น โดยนำเงินที่ได้รับจากการจัดสรรหุ้นส่วนเกินไปใช้ในกลไกการรักษาระดับราคาหุ้น (Stabilization) เสริมสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนเกี่ยวกับเสถียรภาพของราคาหุ้นในช่วง 30 วันแรกหลังเข้าจดทะเบียนซื้อขาย
ทั้งนี้ AWC ได้ร่วมกับผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย ซึ่งประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญในครั้งนี้ ที่ราคา 6.00 บาทต่อหุ้น โดยได้มีนักลงทุนสถาบันชั้นนำทั้งในประเทศและในต่างประเทศประเภท Cornerstone Investor จำนวน 13 ราย ได้แก่ บลจ.บัวหลวง บลจ.กรุงไทย บลจ.กสิกรไทย บลจ.ทิสโก้ บลจ.ไทยพาณิชย์ บลจ.ธนชาต บลจ.เอ็มเอฟซี บลจ.วรรณ บลจ.อเบอร์ดีน สแตนดาร์ด (ประเทศไทย) บมจ.เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต Affin Hwang Asset Management Berhad, Maitri Asset Management และ GIC Private Limited ได้ตกลงจองซื้อหุ้นสามัญของบริษัทฯ ที่เสนอขายครั้งนี้ เป็นจำนวนรวม 3,454,000,000 หุ้น หรือประมาณร้อยละ 50 ของจำนวนหุ้นที่เสนอขายในครั้งนี้ (ไม่รวมการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน) ที่ราคา 6.00 บาทต่อหุ้น การแสดงความสนใจและเข้าทำสัญญาลงทุนในหุ้นของนักลงทุนสถาบันชั้นนำประเภท Cornerstone Investor ทั้ง 13 แห่งนี้ เป็นการแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐานและศักยภาพในการเจริญเติบโตของ AWC”
“AWC ประกอบธุรกิจพัฒนาและบริหารโครงการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำที่มุ่งตอบไลฟ์สไตล์แบบครบวงจร ในประเทศไทย บนทำเลที่ดีเยี่ยม ซึ่งบริษัทฯ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดิน (Freehold) ถึงร้อยละ 90 โดยแบ่งเป็น
(1) กลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ (Hospitality) ซึ่ง AWC เป็นเจ้าของโรงแรมระดับ Midscale ขึ้นไปรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เมื่อพิจารณาจากจำนวนห้องพักทั้งหมดของบริษัทฯ และอสังหาริมทรัพย์ที่บริษัทฯ ตกลงเข้าซื้อตามสัญญาซื้อขายหุ้นปี 2562 ทั้งในพื้นที่ศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) ในเขตเมืองและเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมที่ดึงดูดทั้งกลุ่มไมซ์ และนักท่องเที่ยวทุกประเภท โดยมีเครือข่ายพันธมิตรผู้บริหารโรงแรมภายใต้แบรนด์ชั้นนำระดับสากลถึง 6 กลุ่มพร้อมด้วยฐานลูกค้าทั่วโลกกว่า 300 ล้านราย
(2) กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ (Retail & Commercial Building) ซึ่งครอบคลุมทั้งในส่วนกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อประกอบกิจการการค้า (Retail and Wholesale) ทั้งแลนด์มาร์คด้านการท่องเที่ยวอย่างเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ คอมมูนิตี้ชอปปิงมอลล์และคอมมูนิตี้มาร์เก็ต ภายใต้แบรนด์เกทเวย์ พันธุ์ทิพย์ และตะวันนา นอกจากนี้ยังเป็นเจ้าของอาคารสำนักงานใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ ได้แก่ อาคารเอ็มไพร์ ทาวเวอร์ อาคารสำนักงานแบบมิกซ์ยูส (Mixed-Use) ระดับเกรดเอ เมื่อพิจารณาจากพื้นที่เช่าสุทธิ”
“AWC ยังมีแผนพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยมีข้อได้เปรียบที่ได้รับการสนับสนุนจาก Ecosystem ของ TCC Group ที่จะช่วยสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต และเพิ่มมูลค่าของเงินทุนในระยะยาว โดย AWC มีแผนจะเข้าลงทุนในกิจการเจ้าของทรัพย์สินรวม ทั้งสิ้น 14 โครงการ โดยใช้เงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้เพื่อซื้อและพัฒนากิจการ โดยมีโครงการเด่น ๆ อาทิ โครงการที่เปิดดำเนินการแล้วอย่าง โรงแรมแบงค็อกแมริออท เดอะ สุรวงศ์ (Bangkok Marriott Hotel The Surawongse) ซึ่งมีศักยภาพสูงจากการเปรียบเทียบข้อมูลทางการเงินกับข้อมูลของกลุ่มคู่แข่ง แม้โรงแรมจะเพิ่งเปิดดำเนินการในเดือนเมษายน 2561 และอยู่ในระยะเวลาการดำเนินการช่วงเริ่มต้น (Ramp-up) โรงแรมหัวหิน แมริออท รีสอร์ท แอนด์สปา (Hua Hin Marriott Resort & Spa) โรงแรมภูเก็ต แมริออท รีสอร์ทแอนด์สปา ในยางบีช (Phuket Marriott Resort and Spa, Nai Yang Beach) และโรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ เอ็กซ์เพรสส์ กรุงเทพ สาทร (Holiday Inn Express Bangkok Sathorn) นอกจากนี้ยังรวมถึงโครงการที่จะมีการเปลี่ยนแปลงเป็นแบรนด์สากล อาทิ
โรงแรมอิมพีเรียล แม่ปิง (Imperial Mae Ping Hotel) โรงแรมแกรนด์ โซเล่ (Grand Sole Hotel) โรงแรมพรพิงค์ ทาวเวอร์ (Pornping Tower Hotel) (ซึ่งจะมีการเปลี่ยนเป็นแบรนด์ Melia) อีกทั้งยังมีโครงการโรงแรมที่จะพัฒนาใหม่ อาทิ โรงแรมเจริญกรุง 93 (Charoenkrung 93) ที่จะจับกลุ่มนักเดินทางเพื่อธุรกิจและนักท่องเที่ยว โรงแรมอีสต์ เอเชีย (East Asia Hotel) โรงแรมหรูหราในย่านเก่าแก่บนอาคารคลาสสิคกว่า 100 ปี ริมแม่น้ำเจ้าพระยา โรงแรมบันยันทรี จอมเทียน พัทยา (Banyan Tree Jomtien Pattaya) โครงการในพัทยา ประเภทมิกซ์ยูส ที่ครอบคลุมทั้งในส่วนโรงแรม ค้าปลีก และกิจกรรมนันทนาการอีกมากมาย รวมพื้นที่จัดประชุมและงานอีเวนท์ขนาดใหญ่บนหาดพัทยา ซึ่งโครงการทั้งหมดนี้จะทยอยเปิดให้ดำเนินการระหว่างปี 2564 – 2567” นางวัลลภา อธิบายถึงโครงการในอนาคต
ในส่วนของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อประกอบกิจการการค้า (Retail and Wholesale) บริษัทฯ มีแผนในการพัฒนาและปรับปรุงโครงการต่าง ๆ อาทิ โครงการอสังหาริมทรัพย์มิกซ์ยูส อันประกอบด้วย โครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ ส่วนต่อขยาย (เฟส 2) โรงแรมแบงค็อกแมริออท ดิ เอเชียทีค (Bangkok Marriott The Asiatique) และโรงแรมเจริญกรุง 93 ทั้งนี้ การปรับปรุงและพัฒนาโครงการต่างๆ ของ AWC มีวัตถุประสงค์เพื่อตอบสนองกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายมากขึ้น โดยบริษัทฯ ยังอยู่ในระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการปรับปรุงโครงการพันธุ์ทิพย์ พลาซ่า ประตูน้ำ เป็นรูปแบบอสังหาริมทรัพย์แบบมิกซ์ยูส หรือรูปแบบอื่นๆ และมีแผนเพิ่มทางเลือกด้านความบันเทิงและสันทนาการรูปแบบใหม่ให้กับอสังหาริมทรัพย์เพื่อประกอบกิจการการค้าต่างๆ เพื่อพัฒนาศักยภาพในการใช้พื้นที่ของโครงการให้เกิดประโยชน์สูงสุด
“ภายหลังการเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว AWC จะมีโครงการในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ (Hospitality) รวมทั้งสิ้น 27 โครงการ จากปัจจุบันที่มีโครงการ 14 แห่ง (แบ่งเป็นโรงแรมที่เปิดดำเนินการแล้ว 10 แห่ง และรวมโครงการอีก 4 แห่ง ตามสัญญาซื้อขายหุ้นปี 2562) และโรงแรมที่อยู่ระหว่างการพัฒนาหรือมีแผนการพัฒนาจำนวน 13 แห่ง (เป็นโรงแรมที่อยู่ระหว่างการพัฒนาหรือแผนในการพัฒนา 11 แห่ง และ โครงการอสังหาริมทรัพย์ Mixed-use อีก 2 แห่ง) ซึ่งภายใน 5 ปีข้างหน้า AWC จะมีห้องพักโรงแรมรวม 8,506 ห้อง ส่วนกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อประกอบกิจการการค้า (Retail และ Wholesale) บริษัทฯ จะมีพื้นที่เช่าสุทธิรวม 415,481 ตารางเมตร จากโครงการทั้งหมด 11 โครงการ โดยมีโครงการที่เปิดดำเนินการแล้ว 9 โครงการ (รวม 1 โครงการ ที่บริษัทฯ ได้ทำข้อบันทึกตกลงสัญญาว่าจ้างบริหารเกทเวย์ เอกมัย และเพื่อพิจารณาเข้าลงทุนในโครงการเกทเวย์ เอกมัย ปี 2562) และอีก 2 โครงการซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนาและปรับปรุง และที่อยู่ระหว่างการพัฒนาและทดสอบความพร้อมต่าง ๆ (Test Run) พร้อมกับเป็นเจ้าของอาคารสำนักงานอีก 4 แห่ง ด้วยพื้นที่เช่าสุทธิรวม 270,594 ตารางเมตร
ทั้งนี้ ในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นกลยุทธ์ในการขยายสเกลธุรกิจโรงแรม เพื่อให้ AWC ได้เป็นพันธมิตรที่สำคัญสำหรับเครือโรงแรมระดับโลก โดยเฉพาะเครือโรงแรมระดับยอดเยี่ยม (Best In Class) พร้อมยกระดับศักยภาพการเข้าถึงทำเลสำคัญในแต่ละพื้นที่ โดยเลือกประเภทโรงแรมที่ใช่สำหรับในแต่ละพื้นที่และไลฟ์สไตล์ของคนในท้องที่และนักท่องเที่ยว และที่สำคัญคือต่อยอดความร่วมมือกันในกลุ่ม โดยเฉพาะการทำโครงการในรูปแบบ Mixed-Use ส่วนกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ บริษัทจะยังคงเน้นกลยุทธ์ Barbell Strategy ผ่านการสร้างจุดหมายปลายทางเพื่อรองรับความต้องการของนักท่องเที่ยวทั่วโลก (Global Demand) และสร้างสมดุลโครงการเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้คนในบริเวณโดยรอบโครงการ (Local Catchment) รวมทั้งนำเสนอแนวคิดใหม่เป็นบริษัทแรกอยู่เสมอ ไปพร้อม ๆ กับบริหารความพึงพอใจให้กับผู้เช่าแบบเชิงรุก ด้วยการปรับและพัฒนาสินค้าและบริการ รวมทั้งพื้นที่ให้กับนักช้อปและพนักงานในสำนักงานที่มาเช่าพื้นที่ กระชับความสัมพันธ์กับผู้เช่าเพื่อการตอบโจทย์การดำเนินธุรกิจของผู้เช่าในระยะยาวและสร้างความมั่นคงอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีกลยุทธ์ตลาดแบบข้ามแพลตฟอร์ม (Cross-Platform) ผ่านการขายร่วมเป็นแพคเกจทั้งในกลุ่มรีเทลประเภทเดียวกันและต่างประเภท” นางวัลลภา กล่าวเสริม
“การทำ IPO ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะสนับสนุนการดำเนินการของ AWC ที่จะช่วยต่อยอดรากฐานอันมั่นคงของบริษัทฯ ในฐานะผู้นำด้านการพัฒนาและบริหารโครงการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ ที่มุ่งเน้นตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์แบบครบวงจรในประเทศไทยเพื่อจะตอบรับโอกาสจากระดับมหภาคที่มีปัจจัยสนับสนุนจากภาคการท่องเที่ยวที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมายังประเทศไทยเป็นจำนวนถึง 38.3 ล้านคน ในปี 2561 ตามข้อมูลของ JLL มีอัตราเติบโตของภาคการท่องเที่ยวถึงร้อยละ 10.1 ต่อปี ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา รวมทั้งนักเดินทางกลุ่มประชุมสัมมนา (MICE) มีการเติบโตระหว่างปี 2555-2560 สูงถึงร้อยละ 47.6 ต่อปี โดยกรุงเทพมหานครยังเป็นเมืองหลวงที่เป็นเมืองท่องเที่ยวอันดับต้น ๆ ของโลก อีกทั้งการขยายตัวของเมืองยังคงมีแนวโน้มสูงต่อเนื่อง โดยที่องค์การสหประชาชาติได้ประมาณการว่าอัตราการอยู่อาศัยในเมือง (Urbanization Rate) จะเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 49.9 ในปัจจุบันเป็นร้อยละ 58.4 ในปี 2573 และร้อยละ 69.5 ในปี 2593 ที่ทำให้ความต้องการด้านค้าปลีกและพื้นที่อาคารสำนักงานเพิ่มขึ้น ด้วยความรู้ความเชี่ยวชาญในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ให้เหมาะกับแต่ละตลาดและลูกค้าแต่ละกลุ่ม รวมทั้งสามารถใช้ประโยชน์จากแผนการตลาดในต่างประเทศและเครือข่ายสมาชิกของผู้บริหารโรงแรมระดับสากล ทำให้ธุรกิจของ AWC อยู่ในตำแหน่งที่สามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงในระยะยาวภายใต้การสนับสนุนของเครือ TCC Group ทั้งในส่วนโครงการที่บริษัทฯ พัฒนาแล้ว เริ่มพัฒนา หรือมีแผนจะพัฒนาในอนาคต ด้วยสิทธิของบริษัทฯ ตามสัญญาให้สิทธิ ที่ทำให้สามารถเข้าถึงโครงการและที่ดินเปล่าที่มีศักยภาพสูง เพื่อเสริมแผนการเติบโตต่อเนื่องอย่างยั่งยืน” นางวัลลภา กล่าวสรุป
ดร.กานต์ ปฏิเวธวรรณกิจ หัวหน้าคณะสายงานบัญชีและการเงิน (CFO) บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ผลประกอบการของบริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ต่อเนื่องและมีความสมดุล โดยมีสัดส่วนกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน ประจำปี 2561 เท่ากับร้อยละ 52 ในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ และร้อยละ 48 ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ สำหรับผลประกอบการหกเดือนแรกของปี 2562 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2562 บริษัทฯ มีรายได้และกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน1 จาก 2 กลุ่มธุรกิจหลักเป็นจำนวน 6,442 ล้านบาทและ 3,114 ล้านบาท ตามลำดับ ซึ่งนับได้ว่าสามารถสะท้อนรากฐานอันแข็งแกร่งของ AWC จากการปรับปรุงอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทฯ อย่างมีกลยุทธ์และต่อเนื่อง สามารถตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายโดยการใช้รูปแบบและแบรนด์ที่แตกต่างกัน ด้วยประสบการณ์และความรู้ความเชี่ยวชาญทำให้บริษัทฯ สามารถพัฒนาโครงการในกรอบระยะเวลาที่เหมาะสมและประหยัดต้นทุน ซึ่งหลายโครงการได้เข้าสู่ระยะเวลาการดำเนินการช่วงเริ่มต้น (Ramp-up) ที่อยู่ระหว่างการสร้างรายได้และผลกำไรเติบโตอย่างก้าวกระโดด”
การระดมทุนโดยการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเงินทุนในการเข้าซื้อกิจการที่เป็นเจ้าของของทรัพย์สินตามสัญญาซื้อขายหุ้นปี 2562 ซึ่งจะเป็นโครงการใหม่ ๆ ที่เข้ามาเสริมในพอร์ตฟอลิโอของ AWC หลัง IPO รวมทั้งนำไปลงทุนพัฒนา และปรับปรุงทรัพย์สินของบริษัทฯ และ/หรือ บริษัทย่อย เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนให้กับบริษัทและผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น นอกจากนี้บางส่วนจะใช้ในการชำระคืนเงินกู้ยืม และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
บริษัทฯ จะเปิดให้จองซื้อหุ้นสามัญให้แก่นักลงทุนประเภทบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ ได้ในวันที่ 25-27กันยายนนี้ โดยนักลงทุนที่สนใจจองซื้อหุ้นสามัญ AWC สามารถติดต่อบริษัทหลักทรัพย์ทั้ง 4 แห่งที่เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย รวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ที่ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย อีก 8 แห่ง ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เคที ซีมิโก้ จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัท หลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท หลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ทั้งนี้ คาดว่าหุ้นสามัญของบริษัทจะสามารถเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้ในช่วงต้นเดือนตุลาคมนี้ โดยรายละเอียดจะได้มีการแจ้งให้ทราบต่อไป
ผู้สนใจลงทุนสามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.assetworldcorp-th.com/