ผมฟัง Developers ที่เริ่มทยอยแถลงข่าวประจำปีนี้พอจับสัญญาณได้ว่า ปีนี้ก็ยังเป็นปีที่ฟ้ายังขมุกขมัวเหมือนกับฝุ่น PM 2.5 ที่เรากำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะปัจจัยระดับ Global ทั้งเรื่องของความขัดแย้งระหว่างประเทศ หรือการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ของสหรัฐอเมริกา และปัจจัยในประเทศเองก็ยังมีปัญหาการถดถอยของกำลังซื้อ ปัญหาหนี้ครัวเรือน และอัตราดอกเบี้ยที่ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยยังไม่โตได้เต็มที่
เมื่อดูในสภาวะตลาดเอง ที่เราเคยได้เห็นกันว่าที่ผ่านมาพอตลาดแนวราบขายได้ดี บริษัทต่างๆ ก็พัฒนาออกมาเยอะจน Supply สะสมต่อเนื่องสวนทางกับดีมานด์ที่ทยอยลดลง เห็นได้จากอัตราการดูดซับสินค้าบ้านในทุกระดับราคาลดลงต่อเนื่อง นี่จึงเป็นคำถามที่ว่าแล้วผู้พัฒนาโครงการจะทำยังไงในสภาวะเช่นนี้ดี
ผมได้ฟังแผนงานของ Frasers Property ประจำปี 68 คิดว่าน่าสนใจและเป็นประโยชน์ที่จะแชร์ให้ฟังกันครับ สิ่งที่เค้าตั้งเป้าในการเดินหน้าธุรกิจท่ามกลางความผันผวนในปีนี้ก็คือการ “กอด – Secure Core, Embrace Future”
กอด ในที่นี่ก็คือ การมัดใจลูกค้าเดิม ก่อนจะเริ่มเจาะลูกค้าใหม่ และต้องยืดหยุ่นตามดีมานด์ พร้อมเสิร์ฟด้วยสินค้าและบริการที่ตรงใจ
ด้วยธุรกิจของเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้นั้นเกี่ยวพันกับอสังหาริมทรัพย์หลายอย่าง ทั้งอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย เพื่อการพาณิชย์ และเพื่ออุตสาหกรรม การทำธุรกิจทุกวันนี้จึงไม่ใช่เพียงแค่การขายสิ่งก่อสร้าง แต่เป็น Real Estate as a Service ต้องมีการปรับตัว ยืดหยุ่น และมีบริการรองรับตามความต้องการลูกค้า ยกตัวอย่างเช่น เมื่อก่อนเราเห็นอาคารสำนักงานให้เช่าจะต้องมีสัญญานานหลายปี ทุกวันนี้ก็จะสามารถทำสัญญาสั้นลงได้ หรือมีบริการตกแต่งให้พร้อมเพื่อเข้าใช้งานได้ทันทีด้วย
การปรับตัวเหล่านี้จะต้องมาพร้อมการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าด้วยบริการหลังการขายอย่างจริงใจ ซึ่งทั้งสินค้า และบริการที่จะออกมาใหม่จะต้องใช้ Data-driven Insights ในการวิเคราะห์แนวโน้มตลาดและความต้องการลูกค้า เพื่อนำเสนอ Solution ที่ตอบสนองตลาดได้ทันที เป็นการปรับตัวโดยเน้นทั้งเรื่อง Flexible – Feeling – Focus ที่จะทำให้บริษัทอยู่รอดในปัจจุบันและเติบโตได้ในอนาคต
โดยสรุป ธุรกิจของ Frasers Property ทั้ง 3 กลุ่ม มีการวางแผนงานไว้ดังนี้ครับ
- อสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย เน้นที่ดีไซน์และฟังก์ชันที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ซึ่งปีนี้มีแผนเปิดตัว 6 โครงการทั้งใน กทม. นครราชสีมา และขอนแก่น รวมมูลค่า 9,803 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยว และบ้านแฝด Luxury 3 แบรนด์ ได้แก่ The Grand, Grandio และแบรนด์ใหม่ Gramour โดยมีทาวน์โฮมพรีเมียมอีก 1 แบรนด์ใหม่ภายใต้ชื่อ Goldina และคอนโดแบรนด์ KLOS อีก 1 โครงการ
- อสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรม ในปัจจุบันทางเฟรเซอร์สถือเป็นเบอร์ 1 ของตลาดโดยมีพื้นที่เช่ารวม 3.66 ล้านตร.ม. ซึ่งเป็นตลาดที่เติบโตและยังมีดีมานด์เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จุดเด่นคือการพัฒนาอาคารแบบสำเร็จรูปแบบสร้างตามความต้องการของลูกค้า (Built-to-Suit) และแบบสร้างตามฟังก์ชันพร้อมใช้ (Built-to-Function) ซึ่งเค้าเป็นผู้บุกเบิกเป็นเจ้าแรก โดยปีนี้ตั้งเป้าจะขยายพื้นที่เพิ่มอีกกว่า 150,000 ตร.ม. และจะเข้าไปร่วมพัฒนาโครงการ Industrial Township พื้นที่กว่า 4,600 ไร่บน ถ.บางนา-ตราด กม.32 พร้อมเปิดตัว กพ. นี้
- อสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรม ตลาดนี้แข่งขันกันสูง และมี Supply ใหม่ๆ ออกสู่ตลาดไม่หยุด การจะแข่งขันได้ต้องมุ่งยกระดับการให้บริการและคุณภาพอาคารสำนักงานเกรด A เพื่อสร้างประสบการณ์ใช้งานที่ดี ผสมผสานกับการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้เช่าเดิม ซึ่งจะทำให้สามารถรักษาฐานลูกค้าเดิมได้ ร่วมกับการดึงดูดกลุ่มลูกค้าต่างชาติใหม่ๆ ที่หลั่งไหลผ่านการเข้ามาลงทุนและย้ายฐานการผลิตสู่ไทย โดยปีนี้เราจะได้เห็นพื้นที่รีเทลที่จะเพิ่มเติมร้านค้าที่โดนใจผู้บริโภคมากขึ้น คิดว่าทั้งหมดนี้จะทำให้ยังรักษาอัตราเช่าได้สูงกว่า 90% ครับ
นอกจากนี้ การเปิดรับ AI เข้ามาปรับใช้ในการดำเนินงานต่างๆ ของธุรกิจยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดค่าใช้จ่าย และเวลาในกระบวนการได้เป็นอย่างดี แถมยังช่วยให้พนักงานสามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เป็นการวางรากฐานให้องค์กรก้าวสู่อนาคตที่มีการแข่งขันสูงและเปลี่ยนแปลงรวดเร็วได้อย่างแข็งแกร่ง และนี่ก็คือภาพรวมของธุรกิจ Frasers Property ที่พร้อมเดินหน้าสู่ปีนี้ได้อย่างมั่นใจครับ