บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) หรือ MK บริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการขาย เพื่อเช่าและบริการ โชว์ผลงาน 9 เดือน ปี 2562 สร้างรายได้รวม 3,742 ล้านบาท โตขึ้น 10% หรือประมาณ 339 ล้านบาท กำไรเพิ่ม 36% แจงธุรกิจเพื่อเช่าและบริการมาแรง สร้างรายได้กว่า 242 ล้านบาท กำไรเพิ่มสูงถึง 25% จากปีที่ผ่านมา
นายวรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) (Mr. Vorasit Pokachaiyapat Chief Executive Officer of M.K. Real Estate Development Public Company Limited) หรือ MK เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานสะสม 9 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2562 ว่า กลุ่มบริษัทมีรายได้รวม 3,742 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% หรือประมาณ 339 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย อยู่ที่ 3,237 ล้านบาท โตเพิ่ม 6% และรายได้จากธุรกิจเพื่อเช่าและบริการ 242 ล้านบาท โตเพิ่ม 33% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่ผ่านมา สำหรับไตรมาส 3/2562 นั้น บริษัทฯ มีรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์มีจำนวน 627 ล้านบาท ในขณะที่ธุรกิจเพื่อเช่าและบริการสามารถสร้างรายได้ 86 ล้านบาท เติบโต 37%
“ผลการดำเนินงานตลอดระยะเวลา 9 เดือนที่ผ่านมา บริษัทฯ ยังคงสามารถรักษาระดับรายได้เป็นไปตามเป้าหมาย ผลเนื่องมาจากมาตรการช่วยเหลือลูกค้าเพื่อผ่อนคลายผลกระทบจากมาตรการควบคุมสินเชื่อ LTV และจากภาวะเศรษฐกิจช่วงครึ่งปีแรกจะชะลอตัว ทำให้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังคงชะลอการเปิดตัวโครงการและเร่งระบายสินค้าคงคลังเก่าให้หมด เป็นผลให้มีการแข่งขันด้านราคาค่อนข้างสูง ซึ่งทางบริษัทฯ เองก็มีหลายโครงการที่อยู่ในช่วงใกล้ปิดการขาย เป็นผลให้อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทในไตรมาส 3 ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของ ปีก่อน แต่อย่างไรก็ดียังมีปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นของภาครัฐ เรื่องการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนการโอน และค่าจดทะเบียนการจำนองสำหรับบ้านราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ มีสินค้าที่อยู่ในระดับราคานี้หลายโครงการ ไตรมาส 4 บริษัทฯ ยังคงดำเนินตามแผนที่วางเอาไว้ ในการเปิดตัวโครงการใหม่ 4 โครงการ โดยได้ทำการเปิด 2 โครงการแรกไปแล้วเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ได้แก่ โครงการบ้านเดี่ยว ชวนชื่น ไพรม์ วิลเลจ บางนา ราคาเริ่มต้น 3.99 ล้านบาท และโครงการทาวน์โฮม ชวนชื่น ทาวน์ ชัยพฤกษ์ – แจ้งวัฒนะ ราคาเริ่มต้น 2.89 ล้านบาท”
“อย่างไรก็ดี จากแผนธุรกิจ 5 ปี ที่ต้องการเพิ่มสัดส่วนกำไรขั้นต้นของธุรกิจเพื่อขาย กับธุรกิจเพื่อเช่าและบริการ ให้มีสัดส่วนเป็น 50/50 นั้น ยังคงเป็นไปตามแผนที่วางไว้ สำหรับกำไรขั้นต้นจากธุรกิจการให้เช่าและบริการ ในไตรมาสนี้มีจำนวนรวม 44 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31% หรือ 10 ล้านบาท จากยอดรายได้ 86.18 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรายได้จาก โครงการบางกอกฟรีเทรดโซน จำนวน 74.36 ล้านบาท สูงกว่าไตรมาสเดียวกันของปีก่อนถึง 41.84% หรือ 21.94 ล้านบาท อีกส่วนหนึ่งเป็นรายได้จาก โครงการพาร์คคอร์ท โครงการสนามกอล์ฟ ฟลอร่า วิลล์ กอล์ฟ แอนด์ คันทรี คลับ และธุรกิจบริหารอสังหาริมทรัพย์ โดย บริษัท ยัวร์ส พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์ จำกัด และที่สำคัญบริษัทฯ ยังการรักษาสัดส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนทุนให้ยังคงอยู่ในระดับที่เหมาะสม โดย ณ สิ้นไตรมาส 3 มีสัดส่วนเท่ากับ 1.15 ลดลงจากสิ้นปี 61” นายวรสิทธิ์ กล่าว