กรุงเทพฯ 7 กุมภาพันธ์ 2563 – ดับบลิวแอนด์ดับบลิว พร็อพเพอร์ตี้ แอนด์ ดีเวลลอปเม้นท์ฯ เผยภาพรวมตลาดอสังหาฯปี 63 ตลาดแนวสูงฝั่งกทม.ชั้นนอกไม่คึกคัก รายเล็กและรายใหญ่ เร่งวางแผนให้รัดกุม เปิดแผนปีหนูจ่อผุด 3 โครงการใหม่ รวมมูลค่า 4,000 ล้านบาท ประเดิมโครงการ “Matier Rama9” โฮมออฟฟิศ ย่านพระราม 9 – รามคำแหง พร้อมเปิดพรีเซล ก.พ.นี้ ด้าน“โพลิส คอนโด สุขสวัสดิ์ 64” กวาดยอดขายแล้ว 90 % คาดปีนี้รับรู้รายได้ไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท
นายวิทยา พรหมชนก กรรมการผู้จัดการบริษัท ดับบลิวแอนด์ดับบลิว พร็อพเพอร์ตี้ แอนด์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดอสังหาฯปี 2562 ที่ผ่านมาว่า เป็นปีที่ผู้ประกอบการอสังหาฯ ทั้งรายเล็กและรายใหญ่ต่างเห็นพ้องตรงกันว่าเป็นปีที่ยากลำบากในการดำเนินธุรกิจมากที่สุด และเป็นปีแห่งความท้าทาย ส่วนในปี 2563 มองว่าตลาดแนวสูงฝั่งกทม.ชั้นนอกยังไม่คึกคักเท่าที่ควร ผู้ประกอบการรายใหญ่-รายเล็กต้องมีการวางแผนอย่างรัดกุม ในส่วนของบริษัทฯเองก็มีแนวคิดและวางกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจใหม่ๆ เพื่อรองรับการเติบโตของบริษัท สามารถปรับตัวให้สอดคล้องกับทิศทางของตลาดอสังหาฯ ที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วและคล่องตัว
โดยในปีนี้บริษัทฯตั้งเป้าที่จะเปิดตัวโครงการใหม่ประมาณ 3 โครงการ รวมมูลค่าไม่ต่ำกว่า 4,000 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ “Metier Rama9” ตั้งอยู่บนถนนพระราม9 ตัดกับถนนรามคำแหง พัฒนาในรูปแบบของโฮมออฟฟิศ เพื่อหวังเจาะกลุ่มเป้าหมายระดับ Super Luxury ซึ่งคาดว่าจะสามารถเปิดตัวอย่างเป็นทางการได้ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2563 นี้ ส่วนอีก 2 โครงการจะเป็นคอนโดมิเนียมขนาดกลาง ใกล้แนวรถไฟฟ้า 1 โครงการ และโครงการแนวราบ ในจังหวัดหัวเมืองท่องเที่ยวภาคใต้ 1 โครงการ ที่คาดว่าจะสามารถเปิดตัวได้ในช่วงปลายปี 2563 แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ในขณะนี้
ด้านความคืบหน้าโครงการ “โพลิส คอนโด สุขสวัสดิ์ 64” (Polis Condo Suksawat 64) ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 5 ไร่ ในซอยสุขสวัสดิ์ พัฒนาในรูปแบบคอนโดมิเนียมแบบโลว์ไรซ์ 8 ชั้น 2 อาคาร จำนวน 459 ยูนิต มูลค่าโครงการรวมกว่า 700 ล้านบาท ถูกออกแบบภายใต้แนวคิด “เปิดโล่งให้กับชีวิต ต่อติดทุกการเดินทาง” โดยมีจุดเด่นของโครงการ คือ ความสะดวกสบายด้วยทำเลที่ดีเยี่ยมเข้าออกได้หลายเส้นทาง พื้นที่เปิดโล่งโปร่งสบายด้วยการจัดผังโครงการให้มีพื้นที่ใช้งานอย่างลงตัว พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกแบบครบครัน อาทิ โถงล็อบบี้ส่วนกลาง เพื่อรับแขกและพักผ่อน , สระว่ายน้ำขนาดใหญ่ 2 สระ เพื่อรองรับการพักผ่อนและการออกกำลังกาย, ฟิตเนสครบวงจร, ห้องซ้อมมวย, ลานโยคะ, ห้องสำหรับชมภาพยนต์, พื้นที่ขนาดใหญ่สำหรับร่วมกันสังสรรค์ทำงานและห้องประชุมส่วนตัวบนพื้นที่ส่วนกลาง, สนามเด็กเล่น, สวนหย่อม และสวนขนาดใหญ่รอบโครงการ และดึงดูดใจกลุ่มลูกค้าระดับกลางในราคาที่เป็นเจ้าของได้ง่ายๆ ซึ่งโครงการดังกล่าวได้เปิดพรีเซลไปเมื่อปลายปี 2561 ที่ผ่านมา โดยแบ่งออกเป็น 3 Type ได้แก่ Type A 1Bedroom 28 ตร.ม. , Type B 1 Bedroom Plus 34.5 ตร.ม. และ Type C 2 Bedroom 45 ตร.ม. ราคาเริ่มต้นที่ 1.49 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมียอดขายแล้วกว่า 90 % โดยได้นัดลูกค้าเพื่อตรวจรับห้องไปแล้วบางส่วน และคาดว่าจะสามารถทำการตรวจรับห้องได้ครบทั้งหมด และเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ได้ภายในไตรมาสแรกของปี 2563 นี้และคาดว่าจะปิดการขายได้ภายในไตรมาสที่ 3 ของปี 2563
นอกจากนี้ บริษัทได้ให้ความสำคัญกับกิจกรรมเพื่อดูแลหลังการขาย และดูแลความสุขของลูกบ้านอย่างเต็มที่ โดยที่ผ่านมาทุกโครงการของบริษัท ได้มีการปฏิสัมพันธ์กับลูกบ้านมาโดยตลอด เพื่อที่จะรับรู้ทั้งสิ่งที่ดี และสิ่งที่อยากให้ปรับปรุงเพิ่มเติม โดยในหลายๆครั้ง เมื่อมีนวัตกรรมหรือ ฟีเจอร์ใหม่ๆสำหรับที่อยู่อาศัยออกสู่ท้องตลาด ทางโครงการได้มีการนำสิ่งเหล่านี้กลับไปเพิ่มเติมและปรับใช้อย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นด้านของทัศนียภาพหรือประโยชน์ใช้สอยก็ตาม เพราะว่าโครงการได้ตั้งใจสร้างที่อยู่อาศัย ที่อยู่ได้จริง ไม่ว่าจะเป็นแนวราบหรือแนวสูง และเป็นที่ๆลูกบ้านค้นพบความสุขได้จากการพักผ่อนในบ้านของตนเอง ทางโครงการจึงได้จัดงาน “Polis Open house” ขึ้น เพื่อเป็นการตอบแทนคำขอบคุณลูกค้าจากโครงการ และยังถือเป็นกิจกรรมเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีร่วมกัน ภายในงานประกอบด้วยกิจกรรมจับฉลากแจกของรางวัลและเกมส์สนุกๆมากมาย ซึ่งบรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยความสนุกและความอบอุ่น ตอกย้ำวิสัยทัศน์ในการดำเนินงานของโครงการที่ว่า “เหนือกว่าราคาคือความคุ้มค่าและตรงใจ” ซึ่งนั่นถือเป็นหัวใจสำคัญในการทำงานของบริษัทได้เป็นอย่างดี
“ในปีนี้ยอดรับรู้รายได้ไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นปีที่บริษัทเตรียมจะเปิดตัวโครงการเพิ่มอีกในทำเลที่มีศักยภาพที่ดี และประเภทโครงการที่หลากหลายเซกเมนต์ รวมถึงจำนวนโครงการที่อยู่ในแผนพัฒนา ซึ่งเป้าหมายในระยะยาวนั้น คือการได้เป็นองค์กรที่พัฒนาที่อยู่อาศัยและสถานที่พักผ่อนได้ตรงใจผู้อยู่อาศัยมากที่สุด การขยายโครงการนี้จึงถือเป็นจังหวะที่จะได้พิสูจน์ความตั้งใจในวิเคราะห์ข้อมูล พฤติกรรมของกลุ่มลูกค้า เพื่อนำมาเป็นปัจจัยในการพัฒนาโครงการที่หลากหลายมากขึ้น เราตั้งใจ และที่สำคัญคือการได้รับรู้เสียงตอบรับของลูกบ้านทุกท่านของบริษัทในปีนี้ เพื่อนำทั้งความคิดเห็นและคำติชม ไปปรับปรุงพัฒนาโครงการต่อๆไป” นายวิทยา กล่าวในที่สุด