บมจ.มั่นคงเคหะการ ตอกย้ำผู้นำอสังหาริมทรัพย์ สะท้อนแนวคิด “Well-being” การมีสุขภาวะที่ดี สู่การพัฒนาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน โดยเริ่มปลูกฝังความรู้องค์รวมด้านสิ่งแวดล้อมจากภายในองค์กรให้กับพนักงาน พร้อมกระจายออกสู่ภายนอก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรเพื่อประโยชน์สูงสุดของลูกบ้านและประชากรโลก
นางสาวดุษฎี ตันเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) หรือ MK บริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการขาย เพื่อเช่าและบริการ เผยว่า “จากวิสัยทัศน์การดำเนินงานบริษัทฯ ที่มุ่งเน้น การพัฒนาด้าน “Well-being” หรือการมีสุขภาวะที่ดี ซึ่งไม่เพียงแค่พัฒนาในด้านที่อยู่อาศัยเท่านั้น
แต่มั่นคงฯ ยังวางเป้าหมายสูงสุดในการรณรงค์ให้มีการอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจังและยั่งยืน ล่าสุดเดินหน้า สนับสนุนโครงการจัดการขยะลอยน้ำด้วยทุ่นกักขยะ (Boom) ต่อเป็นเฟสที่ 2เพื่อจัดการปัญหาขยะลอยน้ำบริเวณปากแม่น้ำก่อนไหลลงสู่ท้องทะเล โดยได้ทำการมอบทุ่นกักขยะพร้อมติดตั้งเพิ่มอีก 7 จังหวัด ในงาน “วันทะเลโลก” (Innovation for a Sustainable Ocean)
ซึ่งจัดขึ้นโดย กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) และพันธมิตรทั้งภาครัฐและภาคเอกชนหลากหลายองค์กร ได้แก่ UNPD, UNEP, สมาคมบลูคาร์บอน, ธุรกิจเคมิคอลล์ เอส ซี จี, มูลนิธิ TerraCycle Thai Foundation ฯลฯ
อีกทั้งยังได้รับความสนใจจากประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยได้ทำการส่งเอกอัครราชทูตและตัวแทน อันได้แก่นอร์เวย์, เนเธอร์แลนด์, สิงคโปร์, สวีเดน, ญี่ปุ่น, มาเลเซีย รวมถึงผู้แทนสถานทูตประจำประเทศไทยเข้าร่วมงานในครั้งนี้ด้วย”
“บริษัทฯ มีความตั้งใจที่อยากพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมควบคู่ไปกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลและยั่งยืน เพื่อให้เกิดสุขภาวะที่ดี จึงได้เข้าร่วมเป็นสมาชิก UN Global Compact หรือเครือข่ายความร่วมมือแห่งสหประชาชาติ โดยมีเป้าหมายที่มุ่งสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ภายใต้กรอบการดำเนินงาน 17 ประการ หรือ SDGs (Sustainable Development Goals)
ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้ขับเคลื่อนตามเป้าหมายดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรม และสอดคล้องกับภารกิจหลักและแผนการดำเนินงานของบริษัทฯ ที่วางไว้ ซึ่งรวมไปถึงด้านสิ่งแวดล้อมด้วย จากความสำเร็จของโครงการจัดการขยะลอยน้ำด้วยทุ่นกักขยะ (Boom) ที่เกิดจากความร่วมมือของภาครัฐ ภาคชุมชน และภาคเอกชน จำนวน 5 หน่วยงาน ได้แก่ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) กรมการท่องเที่ยว กรมเจ้าท่า อบต.บางน้ำผึ้ง และ บมจ.มั่นคงเคหะการ ได้ทำการลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) ร่วมกันเพื่อนำร่องโครงการดังกล่าวด้วยการติดตั้งทุ่นกักขยะ หรือ BOOM บริเวณปากแม่น้ำ ณ คุ้งบางกระเจ้า ตำบลบางน้ำผึ้ง จังหวัดสมุทรปราการ รวมระยะทางประมาณ 250 เมตร จำนวน 5 จุดสำคัญ พร้อมมอบเรือยนต์สำหรับเก็บขยะในแม่น้ำอีกจำนวน 1 ลำ ให้กับ อบต.บางน้ำผึ้ง เพื่อไว้ใช้เป็นสาธารณะประโยชน์ส่วนรวม ซึ่งภายหลังจากการติดตั้ง BOOM สามารถดักเก็บขยะได้มากถึงปีละกว่า 4,000 กิโลกรัมหรือกว่า 4 ตัน
โดยส่วนใหญ่เป็นขยะอินทรีย์ตามด้วยพลาสติกและโฟม โดยล่าสุด มั่นคงฯ ได้มีแผนขยายโครงการจัดการขยะลอยน้ำด้วยทุ่นกักขยะ (Boom) ต่อในเฟส 2 ซึ่งได้ร่วมกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ติดตั้งทุ่นกักขยะ (BOOM) เพิ่มอีก 7 จังหวัด ในพื้นที่สำนักทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง 7 สำนัก ได้แก่ ระยอง ชลบุรี เพชรบุรี สุราษฎร์ธานี สงขลา พังงา และกระบี่ โดยได้มีการติดตั้งพร้อมกันเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน (วันทะเลโลก) ที่ผ่านมา”
ด้าน นางสาวอัทธนีย์กานต์ ปฐมสมพงษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายกิจกรรมเพื่อสังคม บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) กล่าวเพิ่มเติมว่า “โครงการจัดการขยะลอยน้ำด้วยทุ่นกักขยะ (Boom) โครงการแรกประสบความสำเร็จอย่างมาก ส่วนหนึ่งมาจากการได้รับความร่วมมือจากชุมชนในท้องถิ่นเป็นอย่างดี โดย อบต.บางน้ำผึ้ง ได้มีการ จัดตารางเพื่อจัดเก็บขยะบริเวณที่ติดตั้งทุ่นกักขยะทั้ง 5 จุดเป็นประจำ พร้อมคัดแยกและจดบันทึกในแบบ International Coastal Cleanup (ICC) ซึ่งจะเป็นฐานข้อมูลในการศึกษาหาวิธีแก้ไขปัญหาขยะทะเล ก่อนจัดส่งให้เทศบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปจัดการตามกระบวนการที่เหมาะสมต่อไป จะเห็นได้ว่าการบริหารจัดการ ที่ดีจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกหน่วยงาน ทุกภาคส่วน เพื่อร่วมกันรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน”
“ทั้งนี้ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา มั่นคงฯ ได้วางจุดยืนในเรื่องของ Well-being อย่างชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ โดยเริ่มจากการปลูกฝัง DNA พนักงานให้เข้าใจและตระหนักถึงการดูแลสุขภาวะทางกายใจของตนเองไปพร้อมๆ กับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ผ่านกิจกรรมภายใน อาทิ โครงการบริหารจัดการและการคัดแยกขยะ กับแคมเปญ Munkong waste free project , โครงการรณรงค์งดใช้ Single Use พลาสติก
อีกทั้งได้ทำการแจกกระบอกน้ำ แก่พนักงานและมีบริการถุงผ้าหมุนเวียนสำหรับใช้ระหว่างวัน, โครงการ Rooftop Farm สวนผักอินทรีย์กินได้ บนดาดฟ้าอาคาร เป็นต้น
รวมถึงการขยายความร่วมมือกับพันธมิตรอื่นๆ ทั้งในประเทศและระดับนานาชาติ เช่น Global Compact Network Thailand, Blue Carbon Society ฯลฯ เพื่อช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ดีอย่างยั่งยืน” นางสาวอัทธนีย์กานต์ กล่าว