รีวิว บ้าน BuGaan Krungthep Kreetha บูก้าน บ้านกู บ้านที่สะท้อนตัวตนเจ้าของแบบไร้ขีดจำกัด ความตื่นตาตื่นใจครั้งใหม่ของแสนสิริที่ไม่อาจละสายตา เริ่ม 35 – 60 ล้านบาท

ผมเคยไปดูบ้านมาก็หลายแห่ง แต่พูดจริงๆนะว่า ยังไม่เคยเห็นโครงการไหนทุ่มเทให้กับ Show Unit เท่ากับบูก้านกรุงเทพกรีฑามาก่อน บ้านมีทั้งหมด 3 หลัง ครอบคลุมทุกแบบที่โครงการมี และความท้าทายสำคัญก็คือ ความเป็นบูก้าน (หรือที่มาจาก บ้านกู เมื่อผวนคำกลับมา) มีคอนเซปต์ว่า “My Home Speaks For Myself” เป็นบ้านที่สะท้อนไลฟ์สไตล์ที่เป็นตัวตนของเจ้าของอย่างสุดขีด เพราะฉะนั้นบ้านทุกหลังที่นี่ ไม่ได้ตกแต่งอะไรเหมือนกันเลย ถูกคิดทุกรายละเอียดในแต่ละจุด แต่ละมุม ให้สอดคล้องกันได้อย่างลงตัว มีทั้งผลงานการดีไซน์จากสุดยอดดีไซเนอร์ระดับโลก งานศิลปะที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร บางชิ้นเป็นของระดับ Master Piece ที่จะได้เห็นในที่นี่เป็นที่แรก หรือเมืองไทยมีแค่ชิ้นเดียวก็มี นี่แหละที่ทำให้เพลิดเพลินในการเดินชมบ้านตัวอย่างที่นี่ คนที่รักในงานศิลป์ประทับใจตลอดการเดินชมในทุกองค์ประกอบ

BuGaan Krungthep Kreetha บูก้าน บ้านกู

โครงการนี้เป็นโครงการใหม่ล่าสุด หนึ่งในของอาณาจักรของแสนสิริผู้บุกเบิกโครงการแนวราบย่านถนนกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ ทุกวันนี้สะดวกสบายเชื่อมต่อ ถ.สายสำคัญหลายเส้นทาง ไม่ว่าจะ ถ. รามคำแหง เชื่อมต่อลาดพร้าว-เสรีไทย, ถ.พระราม9, ถ.กรุงเทพกรีฑา เชื่อมต่อศรีนครินทร์และวงแหวนกาญจนาภิเษก, ใกล้มอเตอร์เวย์ ใกล้ทางด่วนศรีรัช จึงนำพาโครงการบ้านหรูทยอยเปิดตัวตามๆ กันมา นอกจากนั้นบริเวณรอบๆยังมี Community Mall, รร.นานาชาติ, สนามกอล์ฟ เป็นหนึ่งในจุดทำเลสะดวกของกรุงเทพตะวันออก ที่จะเดินทางไป สนามบินสุวรรณภูมิ ไปบางนา หรือเข้าเมืองโซนเอกมัย ทองหล่อ ได้ในเวลาไม่กี่นาที

จุดเด่นของโครงการนี้ที่ไม่เหมือนใครเลยคือเรื่องของงานดีไซน์ ซึ่งผมหมายรวมถึงทั้งภายนอก ภายใน การจัดวางพื้นที่อย่างสร้างสรรค์ รวมไปถึง Facilities ที่ทั้งหมดนี้แสดงออกถึงตัวตนออกมาอย่างเจิดจ้าเลยทีเดียว ผมขอยกตัวอย่างเริ่มจากทางเข้าโครงการที่สูงพิเศษ ช่วยสร้างความโอ่อ่าผสมกับสีทองที่ช่วยทำให้ดูหรูหรามากขึ้น ภายนอก Façade ของบ้านแต่ละหลังใช้ Stone Surface ชิ้นใหญ่ที่ยากทั้งกระบวนการทำและมีลวดลายเป็นของตัวเอง ทำให้บ้านแต่ละหลังไม่ซ้ำกันเลย ผสมผสานกับกริลตกแต่งหน้าบ้านด้วยสีทอง Metallic brass และมีมุม pocket garden ให้บ้านดูมีดีไซน์สวยเก๋มากขึ้น ,

ภายใน มีการออกแบบเสปซที่น่าทึ่ง เราเคยเห็นพื้นที่ Double Volume ภายในบ้านมานักต่อนัก แต่ที่นี่มี Double Volume ที่เป็น Double space ที่ซ้อนในแต่ละชั้น ทำให้พื้นที่ภายในบ้านเชื่อมโยงหากันและกันทั้งหมดตั้งแต่ภายนอกจนถึงภายใน และการออกแบบ Facilities อย่าง Clubhouse ที่ใช้เรื่องของ Reflection สะท้อนท้องฟ้าพาดลงมาบนยอดอาคาร เสมือนแนวคิดของโครงการที่สะท้อนตัวตนของผู้อยู่อาศัยนั่นเอง

แต่ที่สุดยอดจริงๆ ที่ทำให้ผมต้องยอมเลยนั่นก็คือ การตกแต่งภายในบ้านตัวอย่าง (โดยเฉพาะบ้านตัวอย่างขนาดกลาง) ที่เค้ารวบรวมเอาเฟอร์นิเจอร์ และของตกแต่งมาจากทั่วโลก บางชิ้นเป็นงานหายากของสุดยอดดีไซน์เนอร์ระดับ World Iconic Piece ทั้งที่เป็นชิ้นที่มาที่แรกในไทย และบางชิ้นมีแค่หนึ่งเดียวในเมืองไทย บางชิ้นเป็นงาน Vintage ที่ไม่มีอีกแล้ว บางชิ้นถูกดีไซน์ขึ้นมาเพื่อให้เข้ากับคอนเซปต์การตกแต่งเฉพาะบูก้านเท่านั้น และเชื่อมั้ยครับว่าแต่ละห้องไม่เหมือนกันเลย บ้านตัวอย่างที่นี่ไม่ได้เริ่มจาก Core Concept ใดหนึ่งเดียวแล้วถึงตกแต่ง แต่เพราะทุกชิ้นมันมาจากแรงบันดาลใจมาจากความชื่นชอบของเจ้าของบ้านที่ได้ไปพบเจอสิ่งพิเศษจากการท่องโลก นำมาแต่งแต้มให้ลงตัว จนส่องประกายเจิดจ้า นึกไม่ออกเลยว่าต้องใช้พลังแค่ไหนถึงจะทำสิ่งนี้ออกมาได้

เรียกว่าถ้าบ้านหลังนี้ Speaks For Myself ของผู้อยู่ แบรนด์บูก้าน ก็เป็นการ Speaks For Myself แสนสิริที่บอกให้โลกรู้ว่า การทำ Luxury Lifestyle ไม่ใช่ใครก็ทำได้ แต่ต้องเป็นผลจากการสั่งสมประสบการณ์ และมี Refined Taste อย่างแท้จริง

ผมขอสรุปรายละเอียดโครงการที่น่าสนใจเอาไว้ก่อนจะพาเข้าเรื่องไปดูรูปสวยๆ กันครับ

  • โครงการนี้มีเพียง 48 ยูนิต จัดผังโครงการแบบเป็นส่วนตัว มีเพียงคลัสเตอร์ละ 4-6 หลัง
  • มีบ้าน 3 ขนาด คือ ACME (430 ตร.ม.), BRILL (540 ตร.ม.) และ CREST (655 ตร.ม.) เริ่ม 35-60 ล้านบาท พร้อมลิฟต์ส่วนตัวสำหรับบ้านทุกหลัง และมี private garden เชื่อมต่อกับภายในบ้านได้ในทุกส่วน
  • ครั้งแรกของการทำคลับเฮ้าส์สำหรับแบรนด์บูก้านในรูปแบบ Social Art Club ที่มีดีไซน์โดดเด่นและฟิตเนสที่มีเครื่องออกกำลังกายครบครัน มีคาแรคเตอร์ที่จัดจ้าน ไม่เหมือนใคร
  • ที่สุดของการคัดสรรหินอ่อนจากเหมืองที่ดีที่สุดทั่วโลกมาไว้ในโครงการ มีการวางแพทเทิร์นการปูให้ต่อลายได้อย่างสวยงามและแตกต่าง รวมถึงการรวบรวมแบรนด์ดังๆ มาใช้ในการตกแต่งอีกด้วย

​ใครที่สนใจขอเชิญเข้าไปชมโครงการด้วยตาตัวเอง ได้ที่ http://siri.ly/FfTLwo2

#LivingSneakPeek #บ้านหรูกรุงเทพกรีฑา #บ้านกรุงเทพกรีฑา #บ้านพระราม9 #BuGaan #BuGaanKrungthepKreetha #Sansiri #SansiriLuxuryCollection #Sansiri

Bugaan Krungthep kreetha

พามาชม “BuGaan กรุงเทพกรีฑา” บ้านหรูจากแสนสิริ ครั้งนี้มากับคอนเซ็ปต์ My Home Speaks For Myself บ้านจะเป็นสิ่งที่สะท้อนไลฟ์สไตล์ และความหลงใหลของเจ้าของบ้านแบบไม่ต้องยั้ง เป็น Modern Luxury Home For Young Successors ที่แท้จริงครับ

แค่ซุ้มทางเข้านี่ก็อลังการเกินบรรยายเป็นการผสมผสานของ Material ที่ให้อารมณ์แตกต่างกัน

แต่แฝงด้วยจุดเด่นเรื่องาน Reflection ที่แสดงถึงบ้านที่ตอบโจทย์เรื่องการสะท้อนตัวตนของผู้อยู่อาศัย สวยงามจริงๆ ครับ

งานดีไซน์นี้เห็นได้ในพื้นที่ส่วนกลางด้วย

จากภายนอกสังเกต Façade ของบ้านจะเห็นว่ามีดีไซน์ที่แตกต่างกัน และมีลวดลายอันเป็นเอกลักษณ์ของหินธรรมชาติที่นำมาเลือกใช้เป็น Stone Surface ทำให้แต่ละหลังไม่เหมือนกันเลย

ผมขอเริ่มที่แบบบ้าน ‘Brill’ ซึ่งเป็นขนาดกลาง ที่มีพื้นที่ใช้สอย 540 ตร.ม. กันครับ เป็นหลังที่ผมชอบที่สุด แค่ทางเข้าตัวบ้านก็ให้ความรู้สึกเหมือนเข้ามาชมงานศิลปะเลยนะ นั่งเปลี่ยนรองเท้าให้เรียบร้อย แล้วตามมาครับ

เข้ามาก็เจอโถง Double Volume ที่โอ่อ่าตระการตาสุดๆ เกือบ 7 ม. ตรงนี้ถือว่ามีพื้นที่กว้างมากครับ บรรดาเฟอร์นิเจอร์ที่ทุกคนเห็นอยู่นี้ ส่วนใหญ่เป็นเฟอร์นิเจอร์ที่หายากมากๆ บางอย่างมีชิ้นเดียวในไทย เช่น ชุดโซฟาจาก Cassina ชิ้นนี้ ขึ้นเครื่องลงมาแลนดิ้งที่นี่ที่แรก บูก้านกรุงเทพกรีฑา หรือโคมไฟข้างๆ ก็มีเอกลักษณ์ด้วยการขึ้นรูปจากแสตนเลสทรงเก๋ทั้งชิ้น

ข้างกันก็เป็นโซนบาร์ มากับโต๊ะหินอ่อนและไม้แท้ เสมือนการได้นั่งชมชิ้นงานสวยๆข้างหน้าเราตลอดเวลานะครับ จะสังเกตว่าบ้านที่นี่แทบไม่ต้องบิวท์อินอะไร เพราะความสวยงามเกิดจากเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งที่เลือกใช้หมดแล้วครับ

ตรงข้ามกันเป็นโซน Dining จะพบกับโคมไฟทำจากทองเหลือง Brass และแก้วมิลาโนเป็นของวินเทจที่มาจากโรงแรมบูทีคจากฝรั่งเศส ทั้งโต๊ะทานข้าวและเคาน์เตอร์ครัวตรงนี้ก็เป็นหินอ่อนแท้ๆ ที่เค้าไปคัดสรรมาจากเหมืองที่ดีที่สุดทั่วโลกครับ รวมถึงรูปทรงเก้าอี้แบบนี้มองด้วยตาก็รู้แหละว่าสวย

ดูชุด pantry สีทองชุดนี้สิครับ นอกจากความสวยงามของวัสดุแล้ว ลวดลายของไฟที่พาดลงไปบนหน้าบานด้านบน มันเสมือนเป็นลวดลายของชุดตู้เลย Details พวกนี้สร้างความงามจริงๆ

ทุกหลังจะมีสวนอยู่ที่หลังบ้านแบบนี้ครับ ให้ได้นั่งเล่นรับลมชื่นชมธรรมชาติ เปลี่ยนบรรยากาศได้ตลอด และก็เชื่อมโยงเข้าสู่ภายในบ้านด้วยกระจกบานใหญ่ทำให้มองเห็นวิวได้ตลอดทั้งวัน

ขึ้นไปชมที่ชั้น 2 กันบ้าง มีลิฟท์ตกแต่งด้วยสีทองอร่ามตา และให้บ้านทุกหลังตามมาตรฐาน

ขึ้นมาเจอสิ่งแรกก็ทำให้ผมอึ้งอีกแล้ว กับ Double Volume ที่มี Double Volume ซ้อนอีกทีที่ชั้น 2 ไม่เคยเจอที่ไหนมาก่อนเลยแฮะ

โซฟาตัวนี้ก็ยังมีความพิเศษซ่อนอยู่อีกครับ เป็น Maralunga 40 Sofa โดย Vico Magistretti ที่ถือว่าเป็นชิ้นพิเศษแบบ world class design เค้าสามารถปรับพนักพิงได้ จะปรับตั้งตรง หรือปรับพับลงแบบในรูปก็ได้ เปลี่ยน Position ท่านั่งได้ตลอด เหมาะกับคนขี้เมื่อยอย่างผม

เดินต่อมาก็จะโซน Outdoor Terrace ให้ออกไปนั่งสูดอากาศข้างนอกอีกจุดครับ

มาถึง Master Bedroom กับพื้นที่กว้างใหญ่สมกับการเป็นเจ้าของบ้าน นอกจากเตียงสวยๆ ก็ยังตกแต่งด้วยโต๊ะเก้าอี้รูปทรงเฉพาะตัว ที่ถือเป็นผลงานศิลปะอีกหลากหลายชิ้นภายในห้องนอนครับ จะเห็นว่าการตกแต่งนี้แม้ของแต่ละชิ้นจะโดดเด่นในตัวมันเอง แต่อยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืนด้วย Color Palette เดียวกัน มันคือศิลปะของผู้อยู่เบื้องหลังการออกแบบที่นี่นั่นเอง

ถัดมาเป็น Walk-In Closet ที่ตกแต่งด้วยโทนสีที่ใกล้เคียงกัน พร้อมโซน Terrace เล็กๆ เป็นช่องแสงธรรมชาติครับ

สุดทางก็จะเป็นห้องน้ำที่เป็นมาตรฐานที่บ้านทุกหลังจะได้รับ คือการแยกโซนอ่าง มากับ Terrace เช่นกัน แช่อ่างไปชมธรรมชาติไปเพลินๆครับ

มาดูที่ชั้น 3 กันครับ มีจุดให้สอดส่องกิจกรรมของสมาชิกในบ้านด้วย ตรงนี้มองเห็น Double Volume ทั้ง 2 ชั้นได้ชัดเจนเลย นี่แหละคือจุดที่สะท้อนเอกลักษณ์ของบ้านหลังนี้ในเรื่องของการเชื่อมโยงพื้นที่ต่างๆ เข้าด้วยกัน ผ่านการออกแบบอย่างชาญฉลาด

ตรงนี้เป็น Multifunction Area ใครอยู่ชั้นนี้ก็สามารถมาพบปะพูดคุยได้ มีเก้าอี้สีม่วงแซมส้มด้านในสุดมากับรูปทรงที่โดดเด่น แค่เห็นเฟอร์นิเจอร์เหล่านี้ก็เห็นภาพเจ้าของบ้านแล้ว ส่วนฝั่งซ้ายมีห้องน้ำ และ Terrace ของชั้น 3 อีกจุดนึง หากต้องการเพิ่มห้องนอนก็สามารถกั้นผนังเพราะมีห้องน้ำไว้รองรับอยู่แล้วครับ

มาดูห้องนอนที่3 เป็นห้องขนาดใหญ่ ที่มีห้องน้ำ และสามารถทำ Walk-In Closet ขนาดใหญ่ในตัวได้เช่นเคย

มาที่ห้องนอนที่ตกแต่งด้วยสีสันสดใส พร้อมด้วยเฟอร์นิเจอร์วินเทจเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างเช่นตู้ปลายเตียงและตู้หาเตียงที่หาดูไม่ได้อีกแล้ว

มาที่ห้องนอนห้องสุดท้าย ห้องนี้ยังซ่อนกิมมิคอย่างสีส้มของเตียงที่ดีไซน์โดย Philippe Starck เป็นเฟอร์นิเจอร์สีเดียวกับโซฟาพระเอกที่ชั้นล่าง ส่วนที่ติดกับหัวติดเป็นโต๊ะข้างเตียงที่เลื่อนเปิดเก็บของได้ ก็มาเป็นเซทแบบนี้ครับ เห็นทรงวินเทจนี่เสียบชาร์จ USB ได้ด้วยนะ และยังมีโต๊ะเก้าอี้ พร้อมโคมไฟรูปเห็ดน่ารักๆ สีเดียวกับเตียงเช่นกัน ห้องนี้ก็มี Walk-In Closet และห้องน้ำในตัวครับ

ต่อไปมาดูบ้านหลังใหญ่ที่สุดคือแบบ ‘Crest’ ขนาด 655 ตร.ม. กันบ้างครับ เข้ามาเจอกับโถง Double Volume และหน้าต่างกระจกเต็มบานแบบนี้ โคมไฟระย้าข้างบนเค้าออกแบบเสมือนกลุ่มดาว ที่ขนาดความใหญ่และความสว่างของแต่ละดวงจะไม่เท่ากันนั่นเอง เพิ่มพื้นที่โปร่งโล่งสบาย เห็นสวนด้านนอกเต็มอิ่ม

หลังนี้ยอดนักดื่มผู้รักการสังสรรค์จะต้องชอบ เพราะเค้ามีห้องสำหรับเก็บเครื่องดื่มโดยเฉพาะ มีพื้นที่สำหรับ Wine Cellar ขนาดใหญ่ พร้อมพื้นที่นั่งดื่มส่วนตัวเชื่อมโยงกับ Courtyard ด้านนอก และยังมีทางเข้า-ออกทางที่จอดรถได้เลยโดยไม่ต้องผ่าน Common area ในบ้าน

เบื่อดื่มข้างในแล้ว ตกเย็นก็เปลี่ยนบรรยากาศมาชิลล์ด้านนอกต่อได้

ที่อยู่ถัดกันไปตามการจัดวางแบบ Open Plan คือโซน Dining และเคาน์เตอร์ครัวหินอ่อนสวยๆสีแดงเข้มเหมือนสีของไวน์สวยงามครับ

ขึ้นมาชั้น 2 ก็เป็น Double Volume อีกจุด พร้อมพื้นที่พักผ่อนของครอบครัวครับ ด้านบนซ่อนงานศิลปะอันมีเอกลักษณ์ของศิลปินคนไทยเอาไว้ด้วย และหากต้องการห้องนอนเพิ่มก็สามารถกั้นบริเวณนี้เพิ่มได้เพราะมีห้องน้ำเตรียมไว้ให้พร้อนแล้ว

ห้องนอน Master ตกแต่งโทนสีอ่อนให้ความรู้สึกผ่อนคลาย พร้อมไฮไลท์อยู่ที่ด้านในสุด

ซึ่งเป็นพื้นที่นั่งทำงาน หรือพักผ่อน ที่มีเพดานสูงแบบ Double Volume เช่นกันครับ เป็นอีกจุดของบ้านที่ผมชอบมากๆ เป็นมุม Double Volume ส่วนตัวเอกสิทธิ์ของเจ้าของบ้านนั่นเอง

อีกด้านก็เป็น Walk-In Closet ขนาดใหญ่ ตกแต่งโทนสีเดียวกับห้องนอน

พร้อมห้องน้ำใหญ่อลังการ ตกแต่งด้วยหินสีครีมสวยงาม ที่มากับโซน Terrace ได้แสงธรรมชาติ ได้ชมต้นไม้ แถมเป็นส่วนตัวด้วยครับ

มาที่ชั้น 3 ก็มี Multifunction Room อีกห้อง พร้อมโซฟาตัวยาว ห้องนี้ทำเป็นห้องดูหนังน่าจะเหมาะมาก

มาที่ห้องนอน เค้าตกแต่งมาเป็นห้องนอนของลูกชาย โทนสีน้ำเงิน ขนาดกว้างขวางพอสมควรเลย

ข้างกันเป็นห้องนอนของลูกสาวบ้างครับ กับสีชมพูอ่อนดูหวานแหวว พร้อมหน้าต่างกระจกบานเลื่อนขนาดใหญ่

รูปแบบใหญ่สุดจะพิเศษที่มีชั้นดาดฟ้า สามารถวางโต๊ะเก้าอี้ให้นั่งพักผ่อน หรือปาร์ตี้ BBQ ที่ชั้นบนสุดได้เลย

ทิ้งท้ายกันที่บ้านหลังเริ่มต้นที่มีขนาดใหญ่ แบบ ‘Acme’ ขนาด 430 ตร.ม. กันต่อเลยครับ

ตรงนี้จากที่เป็นลิฟท์ เค้าตกแต่งให้ดูเป็นห้อง Shoes Cabinet ที่เลือกวางได้ทั้งรองเท้า หรือจะเป็นกระเป๋าก็ได้ครับ

หลังนี้จะมีส่วน Double Volume บริเวณโซน Dining และ Living จัดวางให้ต่ำลงไป สร้างลูกเล่นให้ดูแปลกตา

Double Volume ที่โซน Dining มากับกระจกสูงเต็มพื้นที่ โปร่งโล่งเช่นเคยครับ โดดเด่นในเรื่องการตกแต่งด้วยโต๊ะวินเทจสีสันสะดุดตาที่ทำจากเรซิ่นเพิ่มลวดลายไม้บนพื้นผิว โครงสร้างที่ทำจากทองเหลืองได้ทั้งความสวยงามและทนทาน

ส่วน Living Area แบบ Sunken ก็มาพร้อมกับโซฟาตัวยาว ตกแต่งด้วยโทนสีฟ้าสดใส มีขนาดใหญ่รองรับการใช้งานได้พร้อมกันหลายคน มุมมองเชื่อมต่อสวนหลังบ้าน รองรับการสังสรรค์ได้ไม่แพ้หลังใหญ่

มี Courtyard ด้านนอกเป็นจุดพักสายตาเช่นเดียวกันทำให้ไม่น่าเบื่อและยังรับความเป็นธรรมชาติได้ทั้งวัน

ครัวตกแต่งหน้าบานไม้สีเข้มสวยงามแบบนี้ครับ พร้อมอุปกรณ์ที่ครบครัน

มาดูชั้น 2 กันต่อเลย

มีส่วน Living Area สำหรับครอบครัวอีกโซนที่ชั้นนี้ครับ จริงๆชั้น 2 เปรียบเหมือน Penthouse ส่วนตัวของเจ้าของบ้านเลยนะ

ก่อนเข้าห้องนอนก็ยังมีบาร์ลับ พร้อมโซฟาให้นั่งพักผ่อนอีกครับ ห้องเก็บเครื่องดื่มก็ตรงนี้ด้วย

นั่งดื่มด่ำกับงานศิลปะได้ที่มุมนี้ นี่เป็นภาพวาด Sun & Moon ที่สะท้อนพลังของดวงจันทร์และพระอาทิตย์ ผลงานที่สั่งทำมาให้เข้ากับการกตแต่ง โดย Thai Artist เรานี่แหละ

เข้ามาที่ Master Bedroom กันต่อ มีพื้นที่ขนาดใหญ่กับกระจกช่องแสงธรรมชาติทั้ง 2 ฝั่งของห้องเลยครับ โทนสีค่อนข้างไปด้วยกันกับโซนข้างนอกเลยแฮะ

พร้อม Walk-In Closet ขนาดใหญ่ และห้องน้ำ ตกแต่งได้จัดจ้านเช่นเคย และกว้างขวางใช้งานได้จริงครับ

ขึ้นมาที่ชั้น 3 ที่เป็นพื้นที่ของห้องนอน แต่เค้าตกแต่งทำเป็นเป็นห้อง Entertainment จัดวางโต๊ะเกมส์ต่างๆ รวมถึงพื้นที่นั่งพักผ่อนได้

มาที่ห้องสุดท้าย ซึ่งเป็นห้องนอนอีกห้อง ซึ่งเค้าก็ทำเป็นห้องพักผ่อน หรือห้องทำงานครับ จะเห็นกระจกที่มีลายของต้นไม้นี่เป็นกระจกที่มีมูลค่าสูงอีกอันนึงเลย และเค้ายังซ่อนงานดีไซน์ที่บ่งบอกตัวตนเจ้าของบ้านไว้อย่างแยบยล นั่นก็คือ Wallpaper ลายผ้าของ Chanel เพื่อให้รู้ว่าเจ้าของห้องนั้นเป็นแฟชั่น ดีไซเนอร์โดยไม่ต้องพูดออกมาในสไตล์ “My Home Speaks For Myself” นั่นเอง

กลับออกมาข้างนอก มาดู Clubhouse ที่เป็นเหมือน Social Art Club กันบ้างครับ ข้างหน้ามีรูปปั้นน้องหมาขนาดใหญ่ตั้งอยู่ (งานดีไซน์จากศิลปินที่ราชบุรี ไซส์นี้มีแค่สิบกว่าตัวทั่วโลกเท่านั้น) ที่ผมชอบมากๆคือตัวอาคารใช้กระจกตามลูกเล่นเรื่อง Reflection ทำให้ดูพรางตาเหมือนกลืนหายไปกับท้องฟ้าเลย

ผมชอบลูกเล่นตรงด้านบนของอาคาร Clubhouse มาก

มีสระว่ายน้ำ และมีฝูงรูปปั้นน้องหมาด้านหลังอีกครับ รายล้อมด้วยพื้นที่สีเขียวที่สวยงามน่าใช้

คลับเฮ้าส์มี 2 ชั้นครับ ขอให้สังเกตงานดีไซน์ที่เราจะไม่ได้เห็นใน Facilities โครงการบ้านที่ไหนแน่ๆ เดินขึ้นบันไดกระจกสวยๆก็จะไปเจอฟิตเนสด้านบนครับ

ชั้นล่างก็จะมีพื้นที่ให้นั่งพักผ่อน หรือนั่งพบปะกับเพื่อนๆได้ที่จุดนี้ครับ เป็นสถานที่ที่มีดีไซน์หลากหลาย และโดดเด่นในทุกพื้นที่เลย

คงพอได้เห็นภาพถึงความสวยงามระดับ Masterpiece ของโครงการ BuGaan กรุงเทพกรีฑากันนะครับ การเดินชมบ้านตัวอย่างที่นี่ให้ประสบการณ์ใหม่ในแบบที่หาที่ไหนไม่ได้จริงๆ ถ้าคุณอาจจะไม่ได้สนใจหรือรู้จักบูก้านมาก่อน ผมขอเตือนว่า การลองเข้ามาชม Show Unit ที่นี่อาจจะทำให้ไปเดินโครงการอื่นแล้วเฉยๆ ไปเลยอีกสักพักนึงก็ได้ครับ
เพราะนี่คือการที่แสนสิริที่มุ่งสู่การเป็น Taste-Maker Brand ในโครงการระดับ Luxury ที่ใครยากจะเลียนแบบได้จริงๆ