RML (บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด มหาชน) โชว์ผลประกอบการปี’66 ยอดขาย (Presales) 1,912 ล้านบาท ชี้ปัจจัยความสำเร็จมาจากคอนโดฯ 2 โครงการ พร้อมอยู่ ได้แก่ ‘ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์’ (The Estelle Phrom Phong) โครงการระดับอัลตร้าลักชัวรี่ บนทำเลใจกลางสุขุมวิท จำนวน 146 ยูนิต ซึ่งมีมูลค่าโครงการ 5,200 ล้านบาท สามารถปิดการขายได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผนวกกับผลตอบรับที่ดีจากคอนโดฯ ลักชัวรี่ พร้อมอยู่ ใจกลางสาทร ‘เทตต์ สาทร ทเวลฟ์’ (Tait Sathorn12) ที่มียอดขายรวม 98% รวมทั้งสร้างรายได้ประจำผ่านโครงการ ‘โอซีซี’ (One City Centre) อาคารสำนักงานลักชัวรี่ Grade A+ ที่สูงที่สุดในไทย ที่มีอัตราการเช่าพื้นที่อาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีกรวมถึงความสนใจจากลูกค้า ณ ปัจจุบันรวมถึงประมาณ 70% พร้อมวางกลยุทธ์รับมือกับการเปลี่ยนแปลงของภาพรวมทางธุรกิจในปี’67
แม้ว่าปี 2566 เป็นปีที่เต็มไปด้วยความท้าทายของ RML แต่บริษัทฯ ยังสามารถบริหารการขายโครงการได้ในระดับที่น่าพึงพอใจโดยสามารถปิดการขาย ‘ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์’ โครงการคอนโดมิเนียมภายใต้การร่วมทุนกับโตเกียว ทาเทโมโนะ อีกทั้งยังมีรายได้หลักมาจากการโอนกรรมสิทธ์โครงการนี้ โดยมียอดโอน 4,750 ล้านบาท หรือคิดเป็น 97% ของจำนวน ยูนิตพร้อมโอน และ ‘เทตต์ สาทร ทเวลฟ์’ ที่ลูกค้าทยอยโอนอย่างรวดเร็ว มียอดโอนแล้วถึง 2,400 ล้านบาท หรือคิดเป็น 55% ของจำนวนยูนิตพร้อมโอน นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีรายได้ประจำจากโครงการ ‘โอซีซี’ อาคารสำนักงานลักชัวรี่ Grade A+ สูงที่สุดในไทยที่สร้างเสร็จสมบูรณ์ ปัจจุบันมีอัตราการเช่าพื้นที่สำนักงานและพื้นที่ค้าปลีก รวมถึงความสนใจจากลูกค้าแล้วประมาณ 70% สะท้อนให้เห็นว่าลูกค้าไว้วางใจในแบรนด์ RML ที่มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจและสร้างโครงการที่มีคุณภาพบนมาตรฐานระดับโลก โดยในปี 2567 นี้บริษัทฯ ได้มีการวางกลยุทธ์ทางธุรกิจที่แข็งแกร่งและพร้อมกับการปรับตัวมากขึ้น ด้วยการประกาศเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ ขึ้นอีกจำนวน 3,588 ล้านบาท สำหรับใช้ในการพัฒนาโครงการใหม่ เพื่อสร้างการเติบโตที่มั่นคงของรายได้ และกำไรของธุรกิจในอนาคต”
นายกรณ์ ณรงค์เดช ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร RML เปิดเผยว่า “จากภาพรวมผลประกอบการของ RML ที่เริ่มฟื้นตัวในปีที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าตลาดอสังหาฯ ลักชัวรี่และอัลตร้าลักชัวรี่ยังคงมีอุปสงค์ (Demand) สูง ดังนั้นในปี 2567 RML พร้อมเดินหน้ากลยุทธ์ใหม่ที่จะขับเคลื่อนธุรกิจต่อไปอย่างมั่นคง ควบคู่ไปกับการมุ่งสร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ มุ่งพัฒนาโครงการด้วยรูปแบบการดำเนินธุรกิจใหม่ในเซกเมนต์ที่ยังไม่ค่อยมีการพัฒนา ซึ่งจะสร้างการเปลี่ยนแปลง และสีสันใหม่ๆ ให้แก่วงการอสังหาริมทรัพย์ไทย โดยเราจะให้ความสำคัญกับการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ ประกอบกับบริหารการเงินของบริษัทฯ ให้มีกระแสเงินสดเพียงพอ มีสภาพคล่อง มีโครงสร้างองค์กรที่สอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจ เพื่อถือครองตำแหน่งหนึ่งในผู้นำในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรี่และอัลตร้าลักชัวรี่ของไทย ซึ่งจะเป็นการพลิกโฉม RML สู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต”
ในปี 2567 บริษัทฯ จะเดินหน้าสร้างรายได้อย่างต่อเนื่องผ่านการเติมเต็มพื้นที่เช่า ‘โอซีซี’ ซึ่งเป็นอาคารสำนักงานลักชัวรี่ Grade A+ ที่สูงที่สุดในประเทศไทย โดยเป็นโครงการร่วมทุนในสัดส่วน 60:40 ระหว่าง RML และ มิตซูบิชิ เอสเตท (ประเทศไทย) ซึ่งถือเป็นสุดยอดโครงการอาคารสำนักงานที่เป็นที่สุดในทุกมิติ ด้วยพื้นที่ให้เช่าทั้งหมดรวมประมาณถึง 61,000 ตารางเมตร กับอัตราค่าเช่าเฉลี่ย 1,500 บาท/ตร.ม. ซึ่งปัจจุบันมีอัตราการเช่าพื้นที่แล้วรวม 70% หลังจากโครงการสร้างแล้วเสร็จเพียง 6 เดือนเท่านั้น ถือว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ทั้งยังสร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ อีกด้วย โดยโครงการมีบริษัทระดับโลกมากมายมาเช่าพื้นที่ อาทิ เดอะ บอสตัน คอนซัลติ้ง กรุ๊ป (ประเทศไทย) บริษัทที่ปรึกษาระดับโลก, ธนาคาร บีเอ็นพี พารีบาส์ ธนาคารสัญชาติฝรั่งเศสที่ใหญ่เป็นอันดับ 8 ของโลก, อมาเดอุส เอเชีย บริษัทเทคโนโลยีด้านการท่องเที่ยวระดับโลก, รวมไปถึงมารูเบนิ กลุ่มบริษัทชั้นนำของประเทศญี่ปุ่นที่มีธุรกิจหลากหลายครอบคลุม 8 อุตสาหกรรมหลัก และอีกหลายบริษัทในเครือมิตซูบิชิ กรุ๊ป อีกกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่สัญชาติญี่ปุ่น เป็นต้น แสดงให้เห็นว่า ‘โอซีซี’ เป็นอาคารสำนักงานที่ได้รับความไว้วางใจและได้รับการยกย่องจากบริษัทชั้นนำระดับโลกมากมาย และส่งผลให้มีรายได้จากค่าเช่าที่ดี ด้วยการตอบรับและแนวโน้มที่ดีเช่นนี้จึงทำให้ ‘โอซีซี’ มีความเป็นไปได้ที่จะพัฒนาไปสู่การลงทุนในรูปแบบ Private Equity Trust (PE Trust) หรือ Real Estate Investment Trust (REIT) ที่ให้ผลตอบแทนจากการเช่าที่น่าพึงพอใจ ซึ่งจะได้รับการยอมรับจากสถาบันการเงินระดับภูมิภาคสำหรับศักยภาพและผลตอบแทนจากการลงทุนที่โดดเด่น ทั้งนี้ การพัฒนา PE Trust หรือ REIT ที่ประสบความสำเร็จจะเสริมความแข็งแกร่งให้กับสถานะการเงินของบริษัทฯ ให้เติบโตอย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังพัฒนาธุรกิจต่อเนื่องด้วยการเพิ่มสัดส่วนการพัฒนาโครงการแนวราบเจาะกลุ่มลูกค้ามหาเศรษฐีบนยอดพีรามิดของเซกเมนต์อัลตร้าลักชัวรี่ ที่ปัจจุบันยังมีการพัฒนาอยู่น้อย แต่มี demand เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเตรียมเปิดตัว 3 สุดยอดโครงการบนทำเลทองของหัวเมืองหลัก ได้แก่ โครงการบนทำเลใจกลางพร้อมพงษ์-ทองหล่อ มูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท ด้วยราคาขายเฉลี่ย 400–700 ล้านบาทต่อหลัง และโครงการ Branded Residential Villa ระดับอัลตร้าลักชัวรี่ ทำเลอ่าวกมลา จังหวัดภูเก็ต มูลค่าโครงการ 12,000 ล้านบาท ราคาขายเฉลี่ย 600-1,000 ล้านบาทต่อหลัง รวมทั้งโครงการแนวราบระดับอัลตร้าลักชัวรี่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ราคาขายประมาณ 1,000 ล้านบาทต่อหลัง โดยทั้ง 3 โครงการ จะได้รับการสนับสนุนจากกองทุนที่จะจัดตั้งขึ้นโดยบริษัทฯ โดยมีบริษัทฯ เป็นผู้ลงทุนหลัก พร้อมกับนักลงทุนสถาบันด้านอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงได้รับสนับสนุนเงินกู้จากสถาบันการเงินเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการลงทุนตามความเหมาะสม อีกทั้งบริษัทฯ ยังปรับรูปแบบการบริหารสินทรัพย์ที่มีอยู่ในโครงการมิกซ์ยูสริมแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อเปิดขายให้กับนักลงทุนอีกด้วยเช่นกัน