คอนโดของฉัน กับฝันที่เป็นจริง

“เด็กๆ โตขึ้นอยากเป็นอะไร?”

เสียงจากครูประจำชั้นดังขึ้นกลางห้องเรียน ตามมาด้วยเสียงเล็กๆ ของเด็กชายและหญิงตะโกนดังขึ้นเซ็งแซ่ แย่งกันตอบคำถาม

บ้างก็ว่า อยากเป็นยอดมนุษย์ อยากเป็นพ่อมด อยากเป็นอัศวิน หรือแม้แต่นักเล่นแร่แปรธาตุ

ครูได้ฟังแล้วก็ได้แต่ยิ้มชอบใจ คำตอบอะไรช่างไร้เดียงสาเสียจริง

กาลเวลาผ่านไป คำตอบเหล่านั้นจางหาย เด็กหลายคนเริ่มตอบตัวเองว่า เราต้องอยู่ในโลกแห่งความจริง เลือกเป็นอะไรก็ได้ที่ “เป็นไปได้” อาจด้วยสภาพแวดล้อม หรือผู้คนที่พวกเขาพบเจอ ทำให้ทุกคนเริ่มเดินตามเส้นทางที่วางไว้ เพื่อจะได้ไปถึงจุดหมายอย่างที่ตั้งใจ

หลายคนทำสำเร็จ หลายคนเปลี่ยนใจระหว่างทาง…

แต่ที่ผมอยากจะบอกก็คือ เป็นอะไรก็ได้ครับ ถ้ามันทำให้เรามีความสุข และสิ่งนั้นไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน เหมือนเรื่องราวที่ผมกำลังจะเล่าต่อไปนี้ เป็นเรื่องราวดีๆ จากน้องคนนึงที่ผมอยากนำมาแชร์ เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์ หรือทำให้ใครที่กำลังไล่เก็บความฝัน ทำมันสำเร็จได้จริงๆ ครับ

“ก่อนอายุ 30 ฉันอยากมีคอนโดเป็นของตัวเอง”  เธอวางเป้าหมายไว้ไกลสุดสายตา แล้วเริ่มมองหาทางที่ต้องเดิน…

บ้านของน้องเป็นฮาวน์โฮมสองชั้นติดกันสองคูหา มีครอบครัวที่แสนอบอุ่นอาศัยอยู่รวมกันจำนวน 5 คน น้องเป็นคนร่าเริง ขยัน และกระตือรือร้นมาก แต่สิ่งเดียวที่ขาดคือ “ความมั่นใจ

เธอเป็นพนักงานเงินเดือน ไม่เก่งบัญชี ไม่มีความรู้เรื่องตัวเลข และอาศัยอยู่ “บ้าน” กับครอบครัวตั้งแต่เกิด แล้วคิดอยากจะมีคอนโด ซึ่งก็นับเป็นภาระก้อนใหญ่เลยนะ เป็นหนี้ 30 ปี น้องจะไหวเหรอ

เธอเริ่มหาข้อมูลตามช่องทาง Social Media ต่างๆ ถามคนรอบข้าง ถามเพื่อนฝูงที่เคยซื้อคอนโด ที่ไหนเค้าว่าดี หรือมีโปรฯ ลดราคา ก็พุ่งตัวเข้าไปดูถึงโครงการ แต่เมื่อต้องดูละเอียดขึ้น ไม่ว่าจะ Layout ห้อง หรือวัสดุที่ใช้ จะรู้ได้ยังไงว่าอันไหนของดี หรือไม่ จะชอบมั้ย ก็ต้องใช้เวลากับมันมากขึ้นครับ

เริ่มกันด้วยเรื่องของ “ขนาด” คอนโดมิเนียม สมัยนี้มีตั้งแต่ 20 ตารางเมตรนิดๆ ไปจนถึงใหญ่เป็นหลักร้อยตารางเมตร ประมาณห้อง Penthouse ดังนั้นเราจึงควรเริ่มจากถามตัวเองก่อนว่า ต้องการอยู่คอนโดเพราะจุดประสงค์อะไร อยู่กับใคร และต้องการใช้ชีวิตแบบไหนในแต่ละวัน

ถ้าเป็นห้องแบบ Studio หมายความว่าเป็นห้องที่มีพื้นที่ใช้สอยทุกส่วนเชื่อมโยงหากันได้หมด โดยมีพื้นที่การใช้งานหลักๆ คือ ครัว ห้องนั่งเล่น และห้องนอน รวมกันโดยไม่มีการกั้นห้อง ใครต้องการอยู่แบบสะดวกใช้งานง่ายๆ เฟอร์นิเจอร์ไม่ต้องเยอะ ห้อง Studio ก็ค่อนข้างเพียงพอครับ (แถมเดี๋ยวนี้บางโครงการมีห้อง Studio ขนาดใหญ่ที่อยู่สบาย ให้เลือกมากขึ้นด้วย) 

และเมื่อคำตอบที่ได้คือ “อยู่คนเดียว” แต่ก็ต้องมีพื้นที่เพียงพอให้ครอบครัวหรือเพื่อนฝูงแวะมาเยี่ยมเยียนได้โดยไม่อึดอัด แต่ก็อยากจะมีความเป็นส่วนตัวด้วย น้องจึงเลือกโฟกัสที่ห้อง 1 Bed ขนาดประมาณ 35 ตารางเมตร เพราะพื้นที่การใช้สอยจะมีการแบ่งเป็นสัดเป็นส่วนมากขึ้น เจ้าของห้องก็มีมุมส่วนตัว แขกที่มาได้รับความสะดวกสบาย และที่สำคัญได้แต่งห้องนอนในฝัน หรือห้องนั่งเล่นโทนสวยตามชอบใจด้วย

ต่อมาก็เป็นเรื่องของ “ทำเล” ทุกวันนี้มีโครงการคอนโดติดรถไฟฟ้าเกิดขึ้นมากมาย นั่นก็หมายถึง “ความสะดวกสบาย” ในการเดินทาง ยิ่งรถไฟฟ้าบ้านเราตอนนี้มีหลากสีหลายโทนเชื่อมโยงกันข้ามฝั่งไปมาแล้ว การมีคอนโดติดหรือใกล้รถไฟฟ้าตอนนี้คือกำไรมากครับ แต่ถ้าไม่ซีเรียสก็ไม่ต้องถึงกับ 0 เมตรหรอก จะสอง สามร้อยเมตร หรือมากกว่านั้น ถ้าเดินไหวก็เป็นอันใช้ได้ นอกจากนี้แล้วก็อย่าลืมสำรวจพื้นที่โดยรอบด้วย ทั้งอาหารการกิน ห้าง ตลาด ฯลฯ แต่ก็อย่างที่เห็น เดี๋ยวนี้โครงการส่วนใหญ่ก็ไม่ลืมที่จะเอาร้านสะดวกซื้อมาให้บริการถึงหน้าโครงการกันแล้วครับ

พอเลือกทำเลกับแบบห้องได้แล้ว อยากจะดูให้ละเอียดขึ้นก็มาดูวัสดุ ที่คอนโดส่วนใหญ่ให้มาเป็นมาตรฐานก็ไล่ไปตั้งแต่ “พื้น” ทั่วไปก็ใช้พื้นลามิเนตกับพื้นที่หลักในห้อง แพงขึ้นมาหน่อยก็พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ ที่มีส่วนของไม้จริงให้ความหรูหรามากขึ้น ถ้าเป็นในส่วนครัวและห้องน้ำที่เหมาะสำหรับเช็ดล้างทำความสะอาดง่ายและทนความชื้นก็จะเป็นพื้นกระเบื้อง ไซส์เล็กก็จะดูราคาย่อมลงมาหน่อย แต่ถ้าทั่วไปก็มักจะขนาดแบบแกรนิตโต ผนังก็มีทั้งที่เป็นฉาบเรียบทาสีขาว หรือบางที่ก็ติด Wallpaper มาให้เลย มุมนึงติดวอลล์มาก็ดูสะดวกและประหยัดดี แต่ด้านหลังผนังจะเป็นยังไงเราก็มองไม่เห็น แถมถ้าโทนไม่ถูกใจก็อาจต้องเลาะใหม่อีก น้องพอฟังแล้วก็เห็นภาพ

ทีนี้สิ่งที่ชวนสงสัยก็คือเวลาโครงการบอกว่าอันนี้เราให้แบบ Fully Furnished vs Fully Fitted ฟังคำว่าฟูลนี่ก็ดูให้หมดนะ แต่มันก็ต่างกันตรงคำแรกเราจะได้เฟอร์นิเจอร์ครบชุดจริงๆ ส่วนคำหลังมันอารมณ์คำการตลาดหน่อย ได้มาเป็นอุปกรณ์พื้นฐานในห้องน้ำห้องครัว หลักๆ จะมี เคาน์เตอร์ครัว สุขภัณฑ์ในห้องน้ำ เครื่องใช้ไฟฟ้ามีให้บ้างบางชิ้น (แอร์, เตาไฟฟ้า, ฮูดดูดควัน) นอกนั้นก็เป็นของแถมแล้วแต่โปรโมชั่น เคาน์เตอร์ครัวที่ให้มาก็มีหลายเกรดตามระดับราคา ไม่ว่าจะลามิเนต หินแกรนิต Porcelain และหินสังเคราะห์ สีสันและลวดลายสวยงามแตกต่างกันไป

อีกสิ่งที่ต้องดูก็คือความสูงของห้อง ที่ส่งผลต่อความรู้สึกโปร่งโล่งสบายเวลาอยู่อาศัยมาก โดยทั่วไปจะเริ่มที่ราว 2.5 เมตร ไปจนถึง 5 เมตรกว่าๆ เลยก็มี ซึ่งก็นิยมเอาไปทำเป็นห้อง Loft กับห้อง Duplex ที่มีพื้นที่ใช้สอย 2 ชั้น มองขึ้นไปบนเพดานก็จะเห็นไฟ เมื่อก่อนโครงการราคาประหยัดก็ใช้โคมไฟซาลาเปา นึกภาพซาลาเปาหมูสับที่เรากินกันได้เลย คือจะเป็นกลมๆ มีฝาครอบ แต่มาตรฐานเดี๋ยวนี้ก็ควรใช้ไฟดาวน์ไลท์นี่แหละ แล้วการที่ไฟไปซ่อนอยู่ในฝ้าเพดานนี่แหละที่ทำให้ห้องดูสูงขึ้นเมื่อเทียบกับอย่างแรก จริงๆ รายละเอียดมันมีอีกเยอะมาก แต่ต้องค่อยดูค่อยทำความเข้าใจไปทีละนิดด้วยการไปดูด้วยตาตัวเองอีกที

ไหนจะพื้นที่ส่วนกลาง ที่หลากหลายโครงการพยายามจัดสรรมาให้ บางที่อาจจะมีแค่สระว่ายน้ำ ฟิตเนส แต่บางที่ก็มีหลากหลายมากมายให้เราได้ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นหน้าผาจำลอง ห้องเล่นเกมแบบ VR ไปจนถึงห้องแต่งหน้าทำผมส่วนตัว ตรงนี้แหละที่จะมาตอบคำถามที่ผมถามไปข้างต้นว่า “เราต้องการใช้ชีวิตแบบไหนในแต่ละวัน”

ปัจจัยสุดท้ายที่ต้องตัดสินใจก็หนีไม่พ้นเรื่อง “ราคาและความคุ้มค่า” เชื่อมั้ยว่า 7 ปีที่แล้ว คอนโดแถวสยาม ราชเทวี ราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรราวๆ 8 หมื่นบาท ตอนนี้เหรอ ราคาเริ่มต้นปาเข้าไป 2-3 แสนบาทต่อตร.ม. หรืออย่างแถวพระราม 8 ผมเคยซื้อห้อง 2 Bed ได้ในราคาเฉลี่ย 5 หมื่นนิดๆ เท่านั้น ยิ่งถ้าใครลืมตาขึ้นมาทุกวันนี้เห็นรางรถไฟฟ้าวิ่งผ่านหน้าคอนโดที่เราเคยตัดสินใจซื้อไว้ในอดีตคงจะยิ่งรู้สึกว่า มันคุ้มค่าในวันนี้จริงๆ

เมื่อได้ดูปัจจัยต่างๆ มาพอสมควรแล้วก็ย้อนกลับมาสู่เรื่องของตัวเค้าเองว่า…

“คอนโดราคาสูงแล้วพนักงานเงินเดือนอย่างน้องเค้าจะกู้แบงค์ได้เหรอ?”

เรื่องนี้มันมี 2 ส่วน ที่มาเกี่ยวข้องครับ

ส่วนที่ 1: ผู้กู้ มีปัจจัยอะไรบ้างที่มีผล ก็ไล่ตั้งแต่

  • ลักษณะอาชีพ (พนักงานประจำ, ฟรีแลนซ์, เจ้าของกิจการ)
  • รายได้ต่อเดือน (เงินเดือน, โบนัส, เงินที่ได้จากอาชีพเสริม และอื่นๆ)
  • รายจ่ายต่อเดือน (Fixed Cost เช่น ค่าโทรศัพท์ ค่าน้ำค่าไฟ ค่ากินค่าอยู่ และอื่นๆ)
  • ภาระหนี้สิน* (ผ่อนอะไรอยู่บ้าง เช่น ผ่อนรถ, ผ่อนบ้าน, ผ่อนบัตรเครดิต เป็นต้น)
  • เงินออม (บัญชีฝากประจำ, เงินเก็บที่จะไม่มีวันแตะต้องเด็ดขาด หรือเงินในไหทองคำที่ฝังไว้หลังบ้าน เป็นต้น)
  • กองทุน ประกันชีวิต ประกันสุขภาพ ฯลฯ

*ภาระหนี้สินนี่กาดอกจัน 78 ดอกไว้เลย เพราะเครดิตดีมีชัยไปกว่าครึ่งครับ คนที่เคยมีเครดิต ไม่ว่าจะเป็น การชำระหนี้ การจ่ายค่างวด ค่าบัตรต่างๆ ถ้าเราชำระได้ตามกำหนด ไม่มีหนี้เสีย ไม่ค้างชำระ คุณคือคนที่ “เครดิตดี” แบงค์ชอบ แถมถ้าประวัติดีมากๆ ก็จะทำให้กู้ง่ายกว่าคนไม่เคยมีเครดิตมาก่อนเสียอีก

ส่วนที่ 2 : ธนาคาร

บางโครงการมีธนาคารที่เค้าดีลกันไว้อยู่แล้ว อันนี้ก็จะสะดวกหน่อย เพราะเค้าจะมาขอเอกสารแล้วทำเรื่องยื่นกู้ให้หมด อาจจะมีการวางมัดจำ กู้ไม่ผ่านคืนเงินบ้างไม่คืนบ้างแล้วแต่ข้อกำหนด บางโครงการก็จะให้เราเลือกธนาคารเองดีลกันเองไปเลย ทีนี้หน้าที่เราก็คือ ยื่นไปครับ เตรียมหลักฐานให้ครบ และควรยื่นไปให้มากกว่าหนึ่งที่ เผื่อว่าเราอาจจะไม่ผ่าน แถมถ้าผ่านก็จะมีตัวเลือกให้เราเลือกดูว่าจะเอาแบงค์ไหนดี ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับทั้งดอกเบี้ย และจำนวนเงินผ่อนที่เหมาะสมกับตัวเราแหละครับ ยิ่งตอนนี้ดอกเบี้ยเงินกู้ต่ำมากๆ ในรอบหลายปี ก็จะเป็นโอกาสของคนมีเครดิตดีให้ได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง

โชคดีที่น้องเป็นคนมีวินัยเรื่องการใช้จ่ายดีมาก ภาระหนี้สินไม่มี บ้านไม่ต้องผ่อน รถไม่มี ผ่อนอย่างเดียวคือบัตรเครดิต และจ่ายเต็มจ่ายก่อนเวลาทุกงวด ดังนั้นข้อกังวลเบื้องต้นค่อนข้างไปในทิศทางที่ดี แล้วจะรออะไร อยากได้ก็ลุยเลยสิ…

แต่… มันไม่ง่ายอย่างนั้นสิครับ

น้องเล็กที่ใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวมาตลอด ตื่นเช้ามาเปิดฝาชีมีกับข้าวฝีมือแม่ให้กินทุกวัน กลับบ้านมาตอนเย็นมีพี่ๆ ให้นั่งเล่นเกมส์ พูดคุยด้วยเสมอ ในวันนี้ต้องการออกไปใช้ชีวิตคนเดียว มีภาระหนี้สินหลักล้าน รวมไปถึงสินทรัพย์ที่กำลังจะมีก่อนอายุ 30 เธอจะทำได้จริงๆ เหรอ

น้องบอกว่า วันนึงพอเราโตขึ้นจากประสบการณ์ที่สั่งสมมา อาจจะยังดูน้อยนิดเมื่อเทียบกับใครต่อใคร แต่สำหรับเธอแล้ว น้องขอวัดใจแค่กับตัวเองก็พอ สิ่งที่เธอกำลังจะทำและตัดสินใจก้าวข้ามคำว่า “อยากมี” แต่เปลี่ยนเป็นคำว่า “จะมี” แทนแล้ว เธอเริ่มวางแผนการใช้เงินใหม่ โดยการแบ่งเงินเดือนกว่า 30% มาเก็บไว้ในบัญชี (คือแบ่งยอดที่คาดว่าจะต้องผ่อนแบงค์ต่อเดือนออกมาเลย) จากนั้นก็ใช้จ่ายอย่างมีสติและรอบคอบ เธอพิสูจน์ให้คนในครอบครัวเห็นถึงความรับผิดชอบในตัวเองด้วยการ ไม่สร้างหนี้ ไม่ฟุ่มเฟือย ทำงานบ้าน ดูแลข้าวของเครื่องใช้ของตัวเองเป็นอย่างดี พูดง่ายๆ ก็คือ เลิกเป็นคนมักง่าย และเลิกนิสัยขี้เกียจไปเลยครับ ฮ่าๆ

ดราม่าและน้ำตาหลั่งมาไม่รู้จบ ในวันแรกที่เธอบอกกับที่บ้านว่าอยากจะซื้อคอนโด แต่พอถึงวันนี้ วันที่เธอขีดเขียนชื่อของตัวเองลงบนสัญญาจะซื้อจะขายของโครงการที่เธอเลือก สิ่งที่ได้รับคืออ้อมกอด และความยินดีจากทุกคนในครอบครัว น้องทำสำเร็จแล้วครับ มีคอนโดของตัวเองก่อนอายุ 30 ได้อย่างที่ตั้งใจไว้จริงๆ

ผมเชื่อครับว่าหลังจากนี้ จะมีบททดสอบอะไรอีกมากมายเข้ามาในชีวิตของเธอ ไม่ว่าจะตื่นมาทำกับข้าวเอง ตรวจเช็คกลอนประตูหน้าต่างก่อนออกจากบ้าน จ่ายค่าน้ำค่าไฟ หรือค่างวดให้ทันกำหนด แต่เชื่อเถอะครับ เมื่อก้าวแรกเราผ่านมาได้แล้ว ถ้าเรามุ่งมั่นและตั้งใจจริง ก้าวต่อๆ ไปต้องไม่มีคำว่ายอมแพ้แน่นอน วันนี้เป้าหมายที่ไกลสุดสายตาลอยมาอยู่ตรงหน้า ขอให้ยิ้มรับและใช้ชีวิตในทุกวันให้ดีที่สุดต่อไปนะครับ