คนที่ให้ความสำคัญกับครอบครัว และพร้อมทุ่มเททุกอย่างเพื่อบ้านที่ดีที่สุดในระยะยาว คงจะต้องเคยทำการบ้านช่วงหาบ้านกันมามากใช่มั้ยครับ ไม่ว่าจะเรื่องของทำเล วัสดุ แบบบ้าน ฟังก์ชั่น งานดีไซน์ รวมไปถึงเพื่อนบ้านและผู้พัฒนาโครงการ ยิ่งหากเจ้าของบ้านมีงบที่ไม่จำกัดแล้ว มีตัวเลือกที่จะทำอะไรหลายอย่างมากรวมถึงการปลูกบ้านเองเพื่อทำทุกอย่างตามใจได้ทั้งหมด แต่หากคุณได้ลองทำทุกอย่างที่ว่ามาแล้วยังรู้สึกว่ามีอะไรที่ยังไม่โดนใจ ผมอยากให้ลองได้มาดูโครงการที่นี่ ที่เรียกว่าเป็นหนึ่งเดียวและอาจจะไม่สามารถพัฒนาได้เหมือนกันได้อีกแล้วในไทย
ก่อนจะไปลงลึกเรื่องตัวโครงการ ต้องบอกก่อนว่าสิ่งที่ทำให้โครงการนี้ (รวมถึงโครงการข้างเคียงในโปรเจกเดียวกัน) “พิเศษ” กว่าที่อื่นก็คือ แนวคิดในการพัฒนา “The Forestias” ในภาพรวมนี่แหละครับ ที่นี่ถือเป็นที่อยู่อาศัยระดับ World Class ที่ใหญ่ที่สุดของไทย เป็นการเนรมิตผืนดินติดถนนบางนา-ตราด กม.7 เกือบ 400 ไร่ (ที่กว้างใหญ่กว่า Tokyo Disneyland เสียอีก) ให้กลายเป็นผืนป่าที่มีระบบนิเวศน์สมบูรณ์ในตัวเองเพื่อเป็นที่พักพิงของสัตว์น้อยใหญ่นานาชนิด แล้วเค้าค่อยๆ จัดวางที่อยู่อาศัยระดับพรีเมียมลงไปให้อยู่รายล้อมหัวใจสีเขียวแห่งนี้ ด้วยจุดมุ่งหมายที่อยากให้ทุกคนมีสุขภาพดี และมีความสุขมากยิ่งขึ้นเพราะเค้าเชื่อว่าชีวิตที่ดี ต้องอยู่เคียงคู่กับธรรมชาติ
แค่สิ่งนี้สิ่งเดียวก็ไม่มีโครงการที่อยู่อาศัยไหนสามารถทำเลียนแบบได้แล้วครับ คุณอาจจะมีบ้านที่หรูแค่ไหน Facilities อลังการแค่ไหนก็ได้ แต่คุณไม่สามารถเสกธรรมชาติขึ้นมาได้ถ้าไม่ได้มีพื้นที่ขนาดนี้ และหากขาดความมุ่งมั่นตั้งใจให้ยั่งยืนอย่างเช่นที่เค้ามีการพัฒนาและลงทุนกับการวิจัยเพื่อสร้างคุณภาพชีวิตให้ดีมาอย่างต่อเนื่อง ผืนป่านี้ก็จะไม่สามารถอยู่ต่อไปได้เช่นเดียวกัน ซึ่งสามารถสัมผัสได้จาก “Forest Pavilion” ที่เป็นทั้งศูนย์เรียนรู้ขนาดมหึมา และเป็นทั้งอาคารจัดแสดงแนวคิดในการพัฒนาโครงการผ่านเทคโนโลยี immersive experience ที่ให้เราเสมือนหลุดเข้าไปอยู่ในอีกโลกหนึ่ง เพราะผู้ร่วมพัฒนาโครงการอย่าง Foster & Partners คือผู้อยู่เบื้องหลังทั้งอาคารสำนักงาน, apple store, พิพิธภัณฑ์, สนามบินที่น่าทึ่งทั่วโลก
Mulberry Grove The Forestias Villas
โครงการ Mulberry Grove Villas ถือเป็นโครงการบ้านระดับ Super Luxury ที่ได้รับการออกแบบมาอย่างพิถีพิถันด้วยความเชื่อเรื่องความผูกพันในครอบครัว ในขณะที่รักษาความเป็นส่วนตัวของแต่ละคนเอาไว้ด้วยในเวลาเดียวกัน ที่นี่ออกแบบมาในลักษณะของวิลล่าหลังใหญ่สูง 3 ชั้นที่สามารถเชื่อมต่อกันเป็น Cluster 2-3 หลังได้ ทำให้คุณยังมีพื้นที่ของตัวเองพร้อมๆ กับได้อยู่ใกล้กับคนที่คุณรักด้วย
Villa ทั้ง 3 Type ได้แก่
- แบบ Roseberry ราคาเริ่ม 185 ล้านบาท มี 4 ห้องนอน 7 ห้องน้ำ 4 ที่จอดรถ รวมพื้นที่ใช้สอย 1,023 ตร.ม. บนที่ดิน 140 ตร.ว. ขึ้นไป
- แบบ Visionberry ราคาเริ่ม 220 ล้านบาท มี 5 ห้องนอน 9 ห้องน้ำ 5 ที่จอดรถ รวมพื้นที่ใช้สอย 1,246 ตร.ม. บนที่ดิน 165 ตร.ว. ขึ้นไป
- แบบ Legendberry ราคาเริ่ม 310 ล้านบาท มี 6 ห้องนอน 11 ห้องน้ำ 6 ที่จอดรถ รวมพื้นที่ใช้สอย 1,725 ตร.ม. บนที่ดิน 225 ตร.ว. ขึ้นไป
โดยวิลล่าทุก Type จะมีห้องแม่บ้านให้ 2 ห้อง และห้องสำหรับคนขับรถให้อีก 1 ห้อง ด้วยครับ
สิ่งที่เค้าคิดมาให้อีกประการคือเรื่องของการอยู่อย่างสบายกายและสบายใจ เป็นการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี ไม่ว่าจะเป็น
เรื่องของ “อากาศ”
ระบบปรับอากาศที่นี่รวบคอมเพรสเซอร์แอร์ไว้ที่ส่วนกลางเพียงจุดเดียว และนำความเย็นกลับมาสู่ตัวบ้านทุกหลังผ่านทางท่อ ช่วยลดความร้อนที่จะเกิดขึ้นกับตัวบ้าน และลดความกังวลในการ Maintenance ซึ่งระบบภายแอร์ในบ้านจะทำหน้าที่แบบ All-in-one เพราะมีทั้งระบบกรอง PM 2.5 ระบบควบคุมความชื้น และยังคอยจับตาคุณภาพอากาศให้เรา ไม่ว่าจะเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือสิ่งเจือปนในอากาศเพื่อเปิดระบบหมุนเวียนนำออกซิเจนและอากาศดีภายนอกมาให้เราอย่างเพียงพอ และทั้งหมดนี้เกิดขึ้นแบบ Real time โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย
เรื่องของ “ความร้อน”
ซึ่งได้รับการจัดการด้วยการวางระบบอย่างรอบคอบไว้ตั้งแต่แรก ไม่ว่าจะเป็นการนำความเย็นผ่านทางท่อน้ำเย็นใต้พื้นในส่วนที่โดนแสงแดดมากกว่าโซนอื่น รวมทั้งยังฝังอยู่ในโซนผนังระเบียงที่จะช่วยลดทอนอุณหภูมิให้ลดลง ร่วมกับการเลือกวัสดุที่นำมาใช้ไม่ว่าจะกระจกกันความร้อนที่มักใช้ในอาคารสำนักงานเท่านั้น การเลือกวัสดุฉนวนกันความร้อน และการออกแบบเพื่อลดการถ่ายเทความร้อนเข้าสู่ภายในตัวบ้าน
เรื่องของ “พลังงาน”
บ้านทุกหลังที่นี่จะมีระบบ Solar Roof พร้อมติดตั้ง Tesla Powerwall มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน นอกจากช่วยประหยัดพลังงานแล้วยังอุ่นใจที่จะมีพลังงานสำรองเทคโนโลยีล้ำสมัยไว้ใช้กรณีฉุกเฉินที่เราควบคุมเองได้
นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการสร้างความอุ่นใจในระยะยาว ด้วยที่ดินที่ได้รับการถมสูงกว่าภายนอกเพื่อป้องกันปัญหาน้ำท่วม และที่สำคัญยังรับประกันคุณภาพตัวยาวนานถึง 30 ปี เค้ากล้าทำแบบนี้เพราะคิด ออกแบบ และเลือกวัสดุทุกอย่างมาอย่างดีจนสามารถควบคุมมาตรฐานได้อย่างมั่นใจนั่นเอง
รายละเอียดอื่นๆ เดี๋ยวพาไปดูข้างในประกอบรูปกันหน่อย ตามไปชมกันได้เลยครับ
#LivingSneakPeek #SneakReview #MulberryGroveVilla #MQDC #TheForestias
เดี๋ยวเราจะพาไปชมบ้านตัวอย่างของโครงการ Mulberry Grove The Forestias กันครับ
จะเห็นว่าบ้านที่นี่จะออกแบบมาไม่เหมือนโครงการอื่นเลย ไม่ได้ทำรั้วกั้นบ้านแต่ละหลัง และส่วนของรั้วรอบโครงการจะทำเป็นลักษณะสื่อถึงโขดหินเป็นชั้นๆ ตามธรรมชาติ
รั้วของโครงการเองก็ทำมาเพื่อให้เข้ากับธรรมชาติให้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นสีสันที่เลือกใช้และงานดีไซน์ ตรงนี้เป็นถนนหลักของโครงการที่เห็นอาคารรูปทรงจั่วแปลกตานี่คือ Clubhouse ของที่นี่ครับ
ทั้งตัวบ้านและพื้นที่ส่วนกลางได้รับแรงบันดาลใจจากการงานสถาปัตยกรรมของไทยที่ลดทอนความซับซ้อนลงมา เค้าใช้วัสดุที่เป็นไม้นำมาจัดรูปทรงได้แปลกตาอารมณ์เหมือน Museum หรือ โรงละคร ด้านในมีบริการคาเฟ่สำหรับลูกบ้านโดยเฉพาะ
พื้นที่ส่วนกลางมีรองรับการใช้งานมากมายทั้งฟิตเนส, Yoga Zone, Kids Room, สระว่ายน้ำ, ห้องประชุมที่ออกแบบมาเป็นไปในทางเดียวกันทั้งหมด
จะมีพนักงานต้อนรับคอยให้บริการอยู่ด้านในนี้ด้วย
ห้องเด็กอยู่ข้างๆ ฟิตเนสให้เจ้าตัวเล็กได้เล่นสนุกอยู่ในสายตา
มีห้องน้ำที่ออกแบบมาด้วย Universal Design เพื่อรองรับผู้ใช้งานทุกวัย
มีสระว่ายน้ำอยู่บริเวณด้านหลังอยู่เคียงข้างกับวิวสวน และต้นไม้ใหญ่ ซึ่งเป็นจุดเด่นของที่นี่เลย
เราจะมีทางเดินออกกำลังกาย เดินชมนกชมไม้ในวนสวยๆ แบบนี้ที่ดูสดชื่นชุ่มฉ่ำดีจริงๆ
เข้ามาในส่วนของบ้านกันบ้างครับ วันนี้เราจะพามาดูลักษณะการอยู่กันเป็น Cluster ของบ้าน 2 หลังที่เป็นขนาดเริ่มต้น และขนาดกลางของโครงการ ดีไซน์ที่นี่แทบจะไม่เห็นปูนอยู่ด้านนอกอาคารเลย ตัวระแนงนี้เป็นอะลูมิเนียมสีสันทำให้เหมือนกับระแนงไม้เป็นทั้ง Façade เพิ่มความสวยงาม และช่วยสร้างความเป็นส่วนตัว
บ้าน 2 หลังทั้งซ้ายและขวาจะอยู่ในระยะที่เดินหากันได้ง่าย ถ้าเราซื้อทั้ง Cluster ก็สามารถทำทางเดินให้เชื่อมหากันได้สะดวก
บริเวณชั้นล่างจะอารมณ์เหมือนใต้ถุนบ้านของบ้านไทย ซึ่งเค้าจัดเป็นสวนยาวเข้าไปจากด้านหน้าจนถึงใต้ตัวบ้านเลย เป็นการใช้พื้นที่เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวได้อย่างคุ้มค่าในส่วนของตอนหน้าบ้าน ส่วนด้านในลึกเข้าไปสามารถทำระแนงไม้เพิ่มความเป็นส่วนตัวมากขึ้น เพื่อให้คนในบ้านใช้งานได้อย่างสบายใจด้วย
โดยเฉพาะบ้านที่เป็นขนาดใหญ่ขึ้นมาหน่อยอย่าง Visionberry นั้นจะมีพื้นที่เพียงพอสำหรับทำสระว่ายน้ำสบายๆ
นอกเหนือจากระแนงไม้แล้วโซนที่เป็นพื้นที่ตรงกลางระหว่างบ้านสองหลังเราก็ลงต้นไม้ใหญ่เพิ่มไปได้ และจะเห็นว่าลักษณะของการอยู่เป็น Cluster ก็สามารถทำทางเดินเชื่อมหากันเพื่อใช้ประโยชน์ของพื้นที่ว่างตรงกลางนี้ร่วมกันได้
บริเวณชั้น 1 ด้านหลังนี้ก็เลยเป็นพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจส่วนตัวริมสระว่ายน้ำ และยังมีพื้นที่เหลือทำ Fitness ให้ใช้งานได้อีก
หลายคนอาจจะสงสัยว่าแล้วยังงี้จะจอดรถไว้ตรงไหน บ้านที่นี่ทุกหลังมีที่จอดรถอยู่ชั้นใต้ดินครับ ไม่ว่าจะขับลงมาผ่านประตูอัตโนมัติ หรือเดินลงจากบันไดด้านหน้าบ้าน หรือขึ้นลงจากด้านใน พร้อมลิฟต์ที่ส่งขึ้นไปยังทุกชั้นของบ้านได้อย่างเป็นส่วนตัว และปลอดภัยด้วยระบบ Digital Key Access ด้วย
ชั้นใต้ดินของบ้านตัวอย่าง (Roseberry) นี้ทำออกมาได้ประทับใจมาก ทั้งงานพื้นที่ดูพรีเมียม และงานระบบที่ออกแบบมาให้ Maintenance ได้สะดวกที่ชั้นนี้ ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อป้องกันน้ำท่วมมาแล้วอีกชั้นด้วย
มาพร้อมระบบ Tesla Powerwall ที่ติดตั้งไว้ด้านล่าง จะเห็นว่าพื้นที่ที่กว้างขวางนี้ ถ้าเราไม่ได้เอาไว้จอดรถอย่างเดียว เรายังสามารถเนรมิตให้กลายเป็นส่วน Underground Hangout ที่เท่เหลือเกิน
รายละเอียดการตกแต่งบันไดขึ้นลงด้านข้างตัวบ้านให้ความรู้สึกดีมาก
ขึ้นมาที่พื้นที่ชั้น 1 นี้จะมี Foyer เล็กๆ ต้อนรับ ส่วนที่เหลือจะเป็นพื้นที่สำหรับกิจกรรมของผู้ซัพพอร์ตต่างๆ ภายในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นห้องนอนของแม่บ้านและคนขับรถ
มีครัวไทยจัดเต็มด้วยชุดครัวแสตนเลสชุดใหญ่เต็มรูปแบบอย่างกับห้องอาหาร Master Chef มีส่วน Laundry Room เก็บเรียบร้อยพร้อมใช้งาน
ส่วนที่เป็นพื้นที่พักผ่อนสำหรับเจ้าของบ้านได้ใช้ชีวิตจริงๆ จะอยู่ที่ชั้น 2 ครับ
ด้านบนนี้จะมี Inner Courtyard เป็นเอกลักษณ์พร้อมต้นไม้ใหญ่คอยต้อยรับและให้ร่มเงาแผ่ความร่มรื่น ประกบข้างด้วยห้องทานอาหารหลักและ ห้องรับแขกที่ใช้กระจกบานใหญ่เต็มบานเปิดรับแสงธรรมชาติเต็มตา
ด้วยจุดเด่นของเพดานสูงแบบ Double Volume เค้าออกแบบให้โถงหลักนี้เป็นที่ตั้งของ Dining Room สำหรับทุกคนในครอบครัว
ใหญ่แบบที่สามารถจัดรับแขกแบบ Long Table ได้ หรือจะมาพบปะกันพร้อมหน้าของทั้ง 2 บ้านก็มาที่นี่ได้อย่างสะดวก มีลิฟต์ส่งอาหารอยู่ใกล้ๆ ส่งขึ้นมา พร้อมเสิร์ฟ
มีโซนสำหรับทำเป็นเคาน์เตอร์บาร์เล็กๆ รองรับการจัดเตรียมสำรับข้าวปลาอาหาร
ถัดเข้ามาบ้านในอีกปีกนึงก็เป็นโซนนั่งทานอาหารแบบเคาน์เตอร์บาร์อย่างเป็นส่วนตัว พร้อมโซนครัวฝรั่งที่ออกแบบไว้เรียบๆ แต่สวยงามซ่อนฟังก์ชั่นการจัดเก็บของได้อย่างแนบเนียน
ใกล้ๆ กันเป็นห้องรับแขก ซึ่งเค้า Zoning ส่วนที่เป็น Semi Public Area ภายในบ้านไว้อยู่ใกล้ๆ กันเชื่อมต่อกันได้สะดวก
ในชั้นเดียวกันนี้ อีกฟากนึงของบ้านก็จะมีห้องนอนมาให้อีก 2 ห้อง พร้อมกับกระจกบานใหญ่ให้ชมวิว ห้องนอนทุกห้องที่นี่มาพร้อมโซนแต่งตัว และห้องน้ำในตัวทุกห้อง
ผมชอบที่เค้าให้ความสำคัญกับเรื่องของช่องแสงมาก ไม่มีโซนไหนที่เป็นมุมอับเลย
ห้องน้ำดีไซน์ไว้อย่างเรียบหรู ดูสไตล์ของ Shower box นี่สวยงามเก็บสูงถึงระยะเพดานเลย พร้อมอุปกรณ์สุขภัณฑ์ที่ได้รับการออกแบบสีพิเศษเฉพาะโครงการ
ข้างๆ กันเป็นห้องนอนสำหรับเจ้าตัวเล็ก ที่ดีไซน์มาให้สนุกสนานเป็นทั้งเตียงนอน และมุมเล่นสนุกในตัว มีตู้เสื้อผ้าที่เค้าจัดแต่งมาด้วยชุดคุณหนูๆ ด้วย เห็นแล้วเกิดแรงบันดาลใจในการมีครอบครัวมาก ฮ่าๆ
ขึ้นมาชั้น 3 จะเห็นว่าต้นไม้ใหญ่กลางคอร์ทชั้น 2 นี้ทำหน้าที่ของมันได้อย่างไร้ที่ติ นอกจากเป็นร่มเงาแล้วยังเป็นพื้นที่สีเขียวสบายตาสำหรับทุกชั้น ซึ่งออกแบบกระจกไว้โอบรับพอดี
ชั้น 3 นี้จะมีพื้นที่เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นห้องอเนกประสงค์ที่เค้าออกแบบไว้เป็นทั้งห้องทำงานและห้องอ่านหนังสือ
มีพื้นที่ที่สามารถปรับเป็นห้องพระได้ด้วย ซึ่งก็ยังมีช่องแสงประกบให้อยู่ดี
มีห้องนอนอีกห้องนึงอยู่ที่ชั้นนี้
ที่ก็มาพร้อมห้องน้ำในตัวและโซนแต่งตัวที่กว้างขวางใช้งานได้สะดวกสบายเช่นกัน
วิวจากห้องนอน Master Bedroom นี้แหละครับที่สะท้อนหัวใจของโครงการได้เป็นอย่างดี จะมีอะไรดีไปกว่าได้อยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ ตื่นมาเห็นวิวสีเขียวเต็มตาแบบนี้ ยิ่งเมื่อจินตนาการถึงผืนป่าใจกลางโครงการ The Forestias เมื่อแล้วเสร็จ ก็ทำให้มาคิดว่าไม่น่าจะมีใครทำตามได้อีกแล้ว
สำหรับห้อง Master Bedroom ก็จะมีเอกสิทธิของเจ้าของบ้านนั่นก็คือ Walk-in Closet ขนาดใหญ่กว่าห้องอื่น มาพร้อมการวางระบบไว้สำหรับทำอ่างล้างมือขนาดเล็กเมื่อเราแต่งหน้าทาครีมเรียบร้อย และยังวางตู้แช่เครื่องสำอางได้อีก มาพร้อมแสงธรรมชาติในตำแหน่งที่เหมาะเจาะ
ห้องน้ำในตัวก็มีขนาดใหญ่ ได้อ่างล้างหน้าแบบ His & Her พร้อมกับอ่างอาบน้ำแบบลอยตัวแยกกันกับส่วน Shower
และก็แยกห้องทำธุระส่วนตัวมาอีกห้องนึงคนฝั่งกัน สามารถใช้ห้องน้ำพร้อมกันได้สะดวก
ห้องนอนสุดท้ายบนชั้นนี้ก็ยังได้จุดเด่นเรื่องของกระจกเช่นเดียวกันครับ
กลับออกมาส่วนด้านนอกกันบ้าง อย่างที่เราเห็นการออกแบบพื้นที่ใช้สอยชั้นใต้ดินและทางเดินขึ้นเข้าสู่ตัวบ้านกันแล้ว
อีกส่วนหนึ่งที่โครงการทำเพิ่มขึ้นมาสำหรับการซื้อบ้านเป็น cluster นั่นก็คือการทำทางเดินเชื่อมถึงกันระหว่างบ้านทั้ง 2 หลัง ส่วนดีไซน์ก็ล้อกันกับดีไซน์หลักของบ้านเลย
บ้าน Roseberry ขนาดเริ่มต้นนี้ก็ยังได้ Courtyard กลางบ้านเช่นเดียวกันครับ งานดีไซน์เชื่อมโยงกันหมดเลยสำหรับบ้านทุกหลัง
สำหรับบ้านนี้พอไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเอาโถง Double Volume มาทำเป็นห้องทานอาหารอย่างเดียว เราก็สามารถบิวท์อินเพิ่มฟังก์ชั่นพักผ่อนส่วนตัวมาได้อีก
โต๊ะกินข้าวก็ปรับเป็นขนาดปกติให้พอใช้งาน
มีโซน Dining ส่วนตัวเช่นเดียวกันกับบ้านหลังที่แล้วครับ
โดยอีกฟากหนึ่งเป็นห้องรับแขกที่รองรับผู้มาเยือนด้วยวิวเปิดโล่งของ Courtyard
และยังมีห้องนอนอยู่ในชั้นเดียวกันนี้เหมือนกับบ้านที่แล้วเลยครับ
ด้วยพื้นที่สำหรับห้องนอนแต่ละห้องทำให้แต่ละคนภายในบ้านได้มีพื้นที่ส่วนตัวเป็นของตัวเอง
บางโซนของห้องนอนก็ยังได้ระเบียงภายนอกขนาดใหญ่ให้ออกไปใช้งานด้วย
มีครบทุกฟังก์ชั่นให้ใช้งานในห้องนอนทั้งส่วนแต่งหน้า และห้องน้ำส่วนตัว
ทางเดินเชื่อมหากันระหว่างห้องก็จะอยู่ข้างกับพื้นที่ Double Volume เพื่อแยกห้องนอนให้ห่างออกจากกันคนละปีก
ในวันฟ้าใส ผมสามารถนอนดูวิวสวยๆ แบบนี้ได้ทุกวันเลย
และทั้งหมดนี้คือความน่าสนใจของโครงการ Mulberry Grove The Forestias ที่เรานำมาให้ชมกันนะครับ ผมคิดว่านี่คือ บ้านที่สะท้อนความรักความผูกพันในครอบครัวในขณะที่เคารพในพื้นที่ส่วนตัวของกันและกันเช่นกัน เมื่อประกอบกับจุดเด่นในภาพรวมทั้งหมดของโครงการ The Forestias แล้วจึงทำให้ที่นี่ไม่เหมือนโครงการอื่นเลย และจะเป็นสังคมอันแสนพิเศษที่จะได้อยู่ร่วมกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมชาติได้อย่างมีความสุขไปอีกแสนนาน