DDproperty เผยผลการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคต่อสภาพตลาดอสังหาริมทรัพย์ (DDproperty Consumer Sentiment Survey) รอบล่าสุดพบว่าผู้บริโภคชาวไทยยังมีทัศนคติที่ดีต่อตลาดที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2559 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของความสามารถในการซื้อ ความพึงพอใจต่อสถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์และปัจจัยเสริมต่าง ๆ ทั้งด้านอุปทานที่เติบโตและมีคุณภาพดีขึ้น ประกอบกับการขยายเส้นทางขนส่งมวลชนระบบรางที่ใกล้ความเป็นจริงของทั้งระบบ โดยหนึ่งในสามของผู้ตอบแบบสำรวจระบุว่ามีแผนจะซื้อที่อยู่อาศัยภายใน 6 เดือน
ผลการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคต่อสภาพตลาดอสังหาริมทรัพย์ในรอบนี้แสดงให้เห็นถึงทัศนคติที่เป็นบวกมากยิ่งขึ้นของผู้บริโภค สองในสามของผู้ตอบแบบสำรวจพึงพอใจต่อสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัย โดยผู้ตอบแบบสำรวจส่วนใหญ่ 73% เห็นว่าจำนวนโครงการอสังหาริมทรัพย์ในตลาดมีจำนวนเพิ่มขึ้น ขณะที่ 41% ระบุว่าสามารถเข้าถึงเงินกู้หรือรีไฟแนนซ์ได้ง่ายขึ้นและ 29% มองว่าการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น
นางกมลภัทร แสวงกิจ ผู้จัดการใหญ่ประจำประเทศไทย DDproperty.com กล่าวว่า “เมื่อพิจารณาความคิดเห็นของผู้บริโภคส่วนใหญ่จะเห็นได้ว่าผู้คนยังคาดหวังให้ภาครัฐตระหนักถึงความสำคัญของการมีที่อยู่อาศัยซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานของสังคม ทั้งนี้บทบาทของรัฐบาลใหม่จะมีความสำคัญอย่างมากต่อการกำหนดนโยบายต่าง ๆ เกี่ยวกับที่อยู่อาศัยของประชาชนอย่างทั่วถึง ในขณะเดียวกันก็กระตุ้นตลาดการซื้อขาย พร้อมไปกับสร้างบรรยากาศการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ
ในฐานะที่ DDproperty เป็นตัวแทนของทุกภาคส่วนในระบบนิเวศน์ที่พร้อมให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนให้ผู้ซื้อได้มีบ้านที่ตรงกับความต้องการอย่างแท้จริง ให้ผู้ขายสามารถมีรายได้จากการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ไปจนถึงผู้ประกอบการได้พัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์สังคมที่กำลังเดินไปสู่บริบทใหม่ของประเทศไทย”
ทางด้านมาตรการที่ผู้ตอบแบบสำรวจต้องการความช่วยเหลือจากภาครัฐเป็นอันดับแรก ๆ คือ การควบคุมราคาของที่อยู่อาศัยที่เป็นโครงการใหม่ 63% และรองลงมาคือมาตรการให้เงินอุดหนุนบ้านหลังแรก 54% นอกจากนี้ยังพบว่า 16% ของผู้ตอบแบบสำรวจพึงพอใจลดลง ซึ่งเป็นผลจากการปรับนโยบายด้านสินเชื่อของธนาคารแห่งประเทศไทยที่มีความเข้มงวดมากขึ้นส่งผลไปถึงการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินที่ล่าสุดสถิติจากธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่าตลอดปี 2561 ที่ผ่านมามีการปล่อยสินเชื่อเพิ่มสูงขึ้นจากปีก่อน 6%
“ด้วยแนวโน้มของตลาดที่ยังเป็นด้านบวก ผู้ประกอบการควรพัฒนาโครงการที่สร้างความแตกต่างอย่างมีคุณภาพ เนื่องจากผู้บริโภคยังคงพิจารณาให้ความสำคัญกับทำเล ความปลอดภัย ราคาต่อพื้นที่ คุณภาพการก่อสร้างหรือโครงสร้าง สิ่งอำนวยความสะดวก เป็นอันดับแรก ๆ ตามลำดับ และเป็นโอกาสอันดีของผู้ประกอบการในการสร้างแรงจูงใจผู้ซื้อเนื่องจากกว่า 1 ใน 3 ของผู้ตอบแบบสำรวจระบุว่ามีแนวโน้มในการซื้อที่อยู่อาศัยในอีก 6 เดือนข้างหน้า และเกือบครึ่งของกลุ่มนี้คาดว่าจะซื้อโครงการเปิดใหม่หรือรีเซล” นางกมลภัทร กล่าวเสริม
เมื่อมองในภาพรวมความพึงพอใจของผู้บริโภคต่อสภาพตลาดอสังหาริมทรัพย์ ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมาพบว่าการสำรวจรอบล่าสุด ผู้บริโภค 66% ยังมีความพึงพอใจต่อสภาพตลาดฯ สูงกว่าการสำรวจในรอบก่อนหน้าที่มีเพียง 57% หรือหากย้อนกลับไปในช่วงครึ่งแรกของปี 2556 ระดับความพึงพอใจของผู้บริโภคอยู่ที่ 47% เท่านั้น
ทั้งนี้ เหตุผลที่ทำให้ผู้ตอบแบบสำรวจมีความรู้สึกเป็นบวกต่อสภาพตลาดในปัจจุบัน ประกอบด้วย
1. ราคาที่อยู่อาศัยยังไม่แพงจนเกินไป
2. ราคาอสังหาฯ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
3. อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยังคงอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ
4. แนวโน้มมูลค่าเพิ่มขึ้นในระยะยาว
5. ตัวเลือกด้านการเงินที่หลากหลาย
อย่างไรก็ดี การสำรวจในครั้งนี้พบว่า ผู้ตอบแบบสำรวจฯ ถึง 72% รู้สึกว่าสภาพตลาดที่อยู่อาศัยในปัจจุบันยังไม่น่าพอใจ เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจไม่ดี ปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้ผู้บริโภคมีความรู้สึกต่อตลาดในทางลบ ได้แก่ ราคาที่อยู่อาศัยที่ขยับขึ้นเรื่อยๆ รวมไปถึงข้อจำกัดจากกฎระเบียบจากภาครัฐ
3 ใน 4 ของผู้ตอบแบบสำรวจเชื่อว่าราคาที่อยู่อาศัยในอีก 5 ปีข้างหน้ายังมีแนวโน้มสูงขึ้นในทุกประเภท สอดคล้องกับบทวิเคราะห์แนวโน้มราคาที่อยู่อาศัยจากดัชนีอสังหาริมทรัพย์ฉบับล่าสุดของ DDproperty ที่ระบุว่าในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา (2560-2561) ราคาที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น 3% และในรอบ 2 ปี เพิ่มขึ้นถึง 17% โดยปัจจัยสำคัญอยู่ที่ต้นทุนในการพัฒนาโครงการ โดยเฉพาะราคาที่ดินที่สูงขึ้นเนื่องจากได้รับอานิสงส์จากการขยายเส้นทางรถไฟฟ้า
จากการสอบถามถึงแนวโน้มในการซื้อที่อยู่อาศัยในอีก 6 เดือนข้างหน้า พบว่า 35% ของผู้ตอบแบบสำรวจมีความตั้งใจจะซื้อที่อยู่อาศัย เกือบครึ่งของกลุ่มนี้คาดว่าจะซื้อโครงการเปิดใหม่หรืออาจจะมองหาทั้งโครงการเปิดใหม่และรีเซล หากพิจารณาตามประเภทที่อยู่อาศัยพบว่าบ้านเดี่ยวได้รับความสนใจมากที่สุด ถึง 81% รองลงมาคือ คอนโดมิเนียม 71% และทาวน์เฮาส์ 66% ตามลำดับ และเมื่อพิจารณาตามทำเลที่ตั้งพบว่า 2 ใน 5 ต้องการอยู่ในทำเลกรุงเทพฯ รอบนอก และเกินกว่าครึ่งมีงบประมาณในการซื้อที่อยู่อาศัยไม่เกิน 1 ล้านบาท
ติดตามเราได้ที่ : facebook
ติดต่อสอบถาม : Contact