TERRABKK เผยเทรนด์อสังหาฯปี 66 ในงานสัมมนา TERRA HINT: ECONOMIC HACK 2023 ติดปีกธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปี 2566 งานสัมมนาแรกของปีที่รวมกูรูด้านเศรษฐกิจไทย – จีน, อสังหาฯ, การเงินและการลงทุน ชี้แนวโน้มสัญญาณเศรษฐกิจไทยปี 66 ฟื้นตัว หนุนภาคอสังหาฯไทย กลับสู่ฐานเดิมก่อนเกิดโควิด-19 รับสัญญาณบวกด้านการลงทุนเอกชน โดยเฉพาะทุนต่างชาติในกลุ่มธุรกิจ EV ที่คาดว่าจะกระตุ้นความต้องการที่อยู่อาศัยในโซน EEC ได้ดี ด้านธุรกิจท่องเที่ยวพำนักระยะยาว (Long Stay) เร่งแผนยุทธศาสตร์ยกระดับให้บริการ มอบสิทธิประโยชน์เหนือระดับ ผ่านบัตรสมาชิกพิเศษที่มุ่งขยายฐานกลุ่มนักท่องเที่ยวและนักลงทุนชาวต่างชาติกลุ่มศักยภาพสูง
ดร.พิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อำนวยการกองนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง กล่าวว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2566 ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) คาดว่าจะขยายตัวในช่วง 3.2 – 3.8% โดยมีปัจจัยหนุนมาจากการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว, การลงทุนภาครัฐ และการปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องของการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน ทั้งนี้ต้องจับตาความเสี่ยงจากหนี้ครัวเรือนซึ่งอยู่ในระดับสูง ที่อาจกระทบโดยตรงต่อกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มเปราะบาง
ด้านทิศทางตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2566 ประเมินว่า ภาพรวมยังสามารถเติบโตได้ตามคาดการณ์เศรษฐกิจที่เติบโต โดยการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวและจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่คาดว่าจะเดินทางมาไทยในปีนี้กว่า 27.5 ล้านคน จาก 11.2 ล้านคนในปี 2565 จะช่วยสร้างเม็ดเงินในระบบให้กับธุรกิจท่องเที่ยว ธุรกิจบริการ และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ทำให้กลุ่มคนทำงานในภาคธุรกิจมีกำลังซื้อในการจับจ่ายเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันก็ยังสามารถดึงดูดลูกค้าจีนเข้ามาซื้อสังหาฯในไทยได้เพิ่มขึ้นจากช่วงสถานการณ์โควิด-19
ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 2566 จะเป็นการปรับเข้ามาสู่ฐานเดิม จากปี 2565 ที่ตลาดอสังหาฯมีการฟื้นตัวค่อนข้างมาก ซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการผ่อนปรน LTV รวมถึงมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอน-จดจำนอง และดอกเบี้ยต่ำ ทำให้ลูกค้าเกิดการเร่งซื้อและเร่งโอนภายในปี 2565
ขณะที่ปี 2566 ประเมินว่า ภาพตลาดอสังหาฯ อาจจะไม่กลับมาคึกคักเหมือนช่วงก่อนเกิดโควิด-19 โดยจะเป็นการเติบโตแบบ Organic Growth อาจจะเห็นการเติบโตราว 4-5 % ภายใต้คาดการณ์แนวโน้ม GDP โต 3% โดยปัจจัยบวกมาจาก 3 ปัจจัยสำคัญ คือ การเปิดประเทศทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้ามาจากภาคการท่องเที่ยวและบริการมาก ขณะเดียวกันปัจจุบันประเทศไทยกลายเป็นเป้าหมายสำคัญของการย้ายฐานผลิตเข้ามาลงทุนของต่างชาติ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาความขัดแย้งของสหรัฐฯ – จีน โดยเฉพาะการเข้ามาของธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า (EV) จากจีน และกระแสการเปลี่ยนแปลงของสังคมเมือง ความเจริญกระจายตามภูมิภาคต่างๆ ทำให้ตามจังหวัดหัวเมืองรองเกิดความต้องการที่อยู่อาศัยใหม่มากขึ้น ซึ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อความต้องการที่อยู่อาศัยในระยะกลางถึงระยะยาว โดยเฉพาะในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งเอื้อสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนให้กับนักลงทุน
คุณมนาเทศ อันนวัฒน์ ผู้จัดการใหญ่ (President) บริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด กล่าวว่า หลังจากสถานการณ์การเกิดโรคระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด–19) ผ่านพ้นไป สถานการณ์ต่าง ๆ มีทิศทางที่ดีขึ้น รัฐบาลมีมาตรการผ่อนคลายการเปิดประเทศเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่จะเดินทางเข้ามาในประเทศไทย ซึ่งทางบริษัทฯ ได้รุกเดินหน้าดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ หวังเพิ่มนักท่องเที่ยวและนักลงทุนชาวต่างชาติกลุ่มที่มีศักยภาพสูงเดินทางเข้ามาพำนัก หรือท่องเที่ยวในประเทศไทย อาทิ จีน ญี่ปุ่น อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน โดยมุ่งเน้นไปที่การมอบสิทธิประโยชน์ที่เหนือระดับ (Exclusive Privileges) เพื่อยกระดับการให้บริการ และเพื่อขยายฐานสมาชิกครอบคลุมไปทุกภูมิภาคทั่วโลก
โดยในปี 2565 บริษัท มีรายได้จากการจำหน่ายบัตรสมาชิก 4,052 ล้านบาท และรายได้ต่อภาคธุรกิจต่อเนื่องจากการเดินทางเข้าประเทศของสมาชิก 1,053 ล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีจำนวนสมาชิกกว่า 22,000 คน และมีเป้าหมายโตในปี 2566 อยู่ที่ 10,000 ใบ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มการเติบโตของ การพำนักระยะยาว ในประเทศไทยได้เป็นอย่างดี
สำหรับการท่องเที่ยวพำนักระยะยาว (Long Stay) นั้นเป็นหนึ่งในรูปแบบการท่องเที่ยวที่ได้รับความสนใจมาก ซึ่งในช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 พบว่าคนกลุ่ม High Net Worth Individual (HNWI) ในประเทศจีนและอินเดีย มีการย้ายออกจากประเทศมากที่สุด และหลังเกิดโควิด-19 จะเห็นพฤติกรรมการเดินทางของกลุ่ม Millennials ที่หันมาเน้นด้านคุณภาพของการใช้ชีวิต มีอิสระทางการเงิน และมี Mobility ที่สูง ดังนั้นบริษัทฯ ได้มองเห็นศักยภาพในการเติบโตของธุรกิจ จึงได้กำหนดเป้าหมายหรือภาพในอนาคตขององค์กรในการปรับเปลี่ยนธุรกิจ ที่สามารถให้บริการกับกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายมากขึ้น รวมทั้งการสรรหาพันธมิตรทางธุรกิจที่มีศักยภาพในตลาดกลุ่มเป้าหมาย เพื่อร่วมมอบสิทธิประโยชน์เหนือระดับแก่สมาชิก ทั้งนี้เพื่อเป็นการตอกย้ำและเสริมศักยภาพธุรกิจให้แข็งแกร่งสู่การเป็นผู้นำระดับโลกที่ให้บริการด้านสิทธิพิเศษแก่บุคคลสำคัญเพื่อการพำนักระยะยาวในประเทศไทย ตามวิสัยทัศน์ของบริษัทฯ
คุณสุมิตรา วงภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เทอร์ร่า มีเดีย แอนด์ คอนซัลติ้ง จำกัด (TerraBKK.com) ประเมินว่า ภาพรวมเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้นจะเป็นส่วนสำคัญหนุนให้ตลาดอสังหาฯสามารถเติบโตตาม โดยเฉพาะกำลังซื้อจากกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยว ร้านอาหาร การบริการและการบินที่กลับมาฟื้นตัว
โดยข้อมูลจาก TerraBYTE แอปพลิเคชั่น เห็นว่าแนวโน้มตลาดอสังหาฯ ปี 2566 มีทิศทางเติบโตได้ดีโดยเฉพาะแนวราบ คือ กลุ่มบ้านเดี่ยวราคา 10-25 ล้านบาท โดยลูกค้าเป็นกลุ่มผู้มีรายได้สูง มีเงินออม ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจน้อยและมีความต้องการเปลี่ยนที่อยู่อาศัย ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลในปี 2565 ที่พบว่า บ้านเดี่ยวระดับราคา 10-25 ล้านบาท มีการเปิดตัวใหม่ราว 25% และยอดขายสามารถเติบโต 15% ซึ่งถือว่าตลาดบ้านเดี่ยวมีอัตราการขายเติบโตสูงที่สุดเมื่อเทียบกับตลาดบ้านกลุ่มอื่นๆ ส่วนกลุ่มบ้านทาวน์โฮม ราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาท ยังสามารถเติบโตได้ดี จากจำนวนการเปิดตัวน้อย ขณะที่ยอดขายเติบโตราว 7-10%
สำหรับกลุ่มที่น่ากังวลในปี 2566 คือ บ้านเดี่ยวราคา 25 ล้านบาทขึ้นไป ปัจจุบันพบว่ามีการเปิดตัวมากจนเกิดอุปทานส่วนเกิน (Over Supply) และกลุ่มทาวน์โฮมพรีเมี่ยม ราคา 5 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งมีการเปิดตัวมาก ขณะที่อัตราการขายชะลอลงอย่างเห็นได้ชัด ส่วนคอนโดมิเนียม ปี 2566 มองว่าทิศทางตลาดคอนโดฯ อยู่ในช่วงฟื้นตัวโดยการเปิดตัวโครงการใหม่ยังไม่มากนัก สวนทางคอนโดฯลักชัวรี่ ราคามากกว่า 2 แสนบาทต่อตร.ม. ที่ปัจจุบันยังขายได้ช้าอยู่
สำหรับเทรนด์ตลาดอสังหาฯในปีนี้ ลูกค้าส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับ Well-Being โดยปีนี้จะเริ่มเห็นพฤติกรรม digital detox คือ พฤติกรรมที่ผู้คนจะเว้นจากการใช้เทคโนโลยีชั่วคราว สู่โลกออฟไลน์มากขึ้น เลือกการเสพสื่อออนไลน์ในเฉพาะเรื่องที่สนใจเท่านั้น โดยหันมาสนใจกับ คุณภาพชีวิต สิ่งแวดล้อม สังคม และสุขภาพจิตตนเองมากขึ้น
อย่างไรก็ดีการกระตุ้นให้ตลาดอสังหาฯปี 2566 กลับมาฟื้นตัวได้ทันที เห็นว่าภาคธนาคารควรปรับเกณฑ์สินเชื่อที่อยู่อาศัยผ่านการขยายระยะเวลาผ่อนชำระให้นานขึ้นเป็นสูงสุด 35-40 ปี ก็จะช่วยลดผลกระทบของแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้นได้ เพื่อช่วยกระตุ้นกำลังซื้อบ้านระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท จากลูกค้าตลาดกลางถึงกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ให้เข้าถึงสินค้าได้มากขึ้น ซึ่งเป็นส่วนสำคัญให้ตลาดอสังหาฯกลับมาดีขึ้นจากที่คาดหวังไว้