โครงการ MUNIQ LANGSUAN
เผลอแป๊บเดียวก็มาถึงสิ้นปีแล้ว และในที่สุดเราก็ได้พบกับโครงการ “MUNIQ LANGSUAN” คอนโดระดับ Super Luxury พร้อมเข้าอยู่ที่น่าประทับใจประจำปีนี้ นอกจากเรื่องทำเลที่หลายคนคงทราบกันดีถึงคุณค่าและความหายากแล้ว บรรยากาศภายใน และการออกแบบพื้นที่ส่วนกลางแบบไม่ Compromise นี้ ยิ่งเสริมให้ประสบการณ์การอยู่อาศัยของที่นี่ไม่เหมือนที่อื่น จะเป็นยังไง ตามไปชมกันได้เลยครับ
“หลังสวน” ทำเลสุดสงบใจกลางเมือง
ซอยต้นสนที่ตั้งของโครงการเรียกได้ว่าเป็นใจกลางกรุงเทพฯ อยู่ระหว่างสุขุมวิทตอนต้น และพระราม 4 ที่ประกอบด้วยรถไฟฟ้า 2 สายหลัก และศูนย์กลางย่านธุรกิจชั้นนำ “เพลินจิต – ชิดลม – สีลม – วิทยุ” แหล่ง Shopping สถาบันการศึกษา โรงแรม 5 ดาว และอื่นๆ อีกมากมาย ขนาบด้วยโครงการเมกะโปรเจกต์ขนาดยักษ์อย่าง One Bangkok
ฟังดูแล้วน่าจะต้องคึกคักวุ่นวาย แต่ถนนที่ตัดตรงจากสุขุมวิทตรงมายังถนนสารสินอย่างซอยต้นสนนี้ เป็นถนนที่เหมือนหยุดเวลาไว้ภายนอกจริงๆ ครับ ไม่ว่าจะด้วยความร่มรื่นและบรรยากาศรอบข้าง รวมไปถึงสวนลุมพินีอันเขียวชอุ่ม ที่ชวนให้รู้สึกถึงบรรยากาศการพักผ่อนจนลืมไปว่าเราอยู่ใจกลางเมืองนี่เอง
Living in World Class Neighborhood
ด้วยทำเลที่ตั้งที่เพียบพร้อม นี่จึงเป็นพื้นที่ที่ได้รับการดูแลอย่างดี ไม่ว่าจะเรื่องของโครงสร้างพื้นฐาน การปรับปรุงถนน การระบายน้ำ และยังมีความปลอดภัยสูงมาก เพราะเป็นที่ตั้งของสถานทูตสหรัฐอเมริกา และเนเธอร์แลนด์ ซึ่งด้วยความเป็นผืนดินที่มีมูลค่าสูง แถวนี้ก็มักจะได้รับการพัฒนาในลักษณะของ Leasehold ซึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือที่ดินกว่า 56 ไร่ในโครงการ Sindhorn Village ที่ได้รับการพัฒนาเป็น Mixed Use สุดพรีเมียม ทั้ง Residences โรงแรม และ Community Mall
ถ้าก้าวแรกคือทำเลที่ดีพร้อม ก้าวต่อมาที่สำคัญก็คือเพื่อนบ้านนี่แหละครับ ซึ่งแถวนี้ก็ทำให้เราได้อยู่ท่ามกลางเพื่อนบ้านที่ดีที่สุด นอกจากจะทำให้ส่งเสริมด้านภาพลักษณ์ และบรรยากาศการอยู่อาศัยแล้ว ยังเป็นทัศนียภาพที่สวยงามอีกด้วยครับ
MUNIQ LANGSUAN : Live your everlasting romance
ท่ามกลางการพัฒนาแบบ Leasehold ที่ตั้งของ “MUNIQ LANGSUAN” คือผืนดิน Freehold ที่เราจะได้เป็นเจ้าของส่งต่อผ่านรุ่นสู่รุ่น บนผืนดินราวๆ เกือบไร่ครึ่งของที่นี่ เป็นตำแหน่งที่มองวิวสวมลุมได้เต็มตาเคียงคู่ไปกับ Skyline ของกรุงเทพชั้นใน ได้รับการพัฒนาเป็นคอนโดสูง 28 ชั้น สำหรับ 163 ยูนิตเท่านั้น โดยใช้สีขาวเทาเป็นหลักควบคู่กับดีไซน์คลาสสิคที่ดูงดงามทุกกาลเวลา
แม้ที่ดินจะเป็นแปลงไม่ใหญ่ แต่สิ่งที่ผมประทับใจมากก็คือ การออกแบบและจัดวางตำแหน่งพื้นที่ส่วนกลางต่างๆ ให้ใช้งานอย่างเต็มอิ่มเท่าที่จะทำได้ อย่างบางที่อาจจะแชร์พื้นที่กันระหว่าง facilities ทำให้ฟิลลิ่งมันรู้สึกว่าขอแค่ให้มี แต่มันไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่สำหรับที่นี่ คุณจะได้สระว่ายน้ำรักษาอุณหภูมิ (28 c) Kids pool & Jacuzzi ในวิวที่ดีที่สุด, ฟิตเนส ขนาดใหญ่ที่ใช้แบรนด์ระดับ Top, Game Lounge กว้างๆ เสมือนคลับส่วนตัว พร้อมอุปกรณ์สั่งทำเฉพาะ, Sky Lounge ที่มีมุมชมวิวแบบพาโนรามา, ห้อง Private Dining พร้อมโซนครัวด้านหลังพื้นที่ใหญ่ใช้งานได้เต็มที่แบบเปิดร้านอาหารได้เลย
พูดง่ายๆ ก็คือ พื้นที่ส่วนกลางทั้งหมดของที่นี่ออกแบบมาอย่างไม่ Compromise กับพื้นที่ครับ ทุกส่วนกว้างขวาง น่าใช้งาน ดูหรูหรา และใส่ใจในรายละเอียดการเลือกของมาใช้ประกอบให้ประสบการณ์การใช้งานดีที่สุด แถมยังจัดมาให้เหลือเฟือ ทั้ง Lobby, Reception Area, Garden collection & Silver Courtyard, EV Chargers, Active Atrium, Yoga room, Separate facilities for men and women (Spa, Sauna, Steam), Amphitheater, Sky Garden, Kids Quarter
โดยรูปแบบห้องที่นี่เน้นห้องขนาดใหญ่ มีตั้งแต่
- 1 Bedroom : 50.88 – 57.89 sq.m.
- 1 Bedroom plus : 63.80 – 79.78 sq.m.
- 2 Bedroom : 78.20 – 172.13 sq.m.
- 2 Bedroom plus : 96.40 – 152.42 sq.m.
- 3 Bedroom : 23.29 – 128.04 sq.m.
- 3 Bedroom plus : 172.13 – 175 sq.m.
- 4 Bedroom : 176.18 sq.m.
- The Collection : 81.91 – 277.85 sq.m.
โดยห้องที่เราจะพาชมกันในวันนี้จะเป็นห้องในรูปแบบ The Collection ซึ่งได้รับการตกแต่งครบถ้วน ทั้งเฟอร์นิเจอร์ และการออกแบบภายในที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Parisian Style และแนวคิด Timeless Elegance จะเป็นยังไง ตามไปชมด้านในได้เลยครับ
ในส่วนของราคาเริ่มต้นของที่นี่อยู่ที่ 18 ล้านบาท ใครที่สนใจสามารถคลิกลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษได้ที่นี่ครับ >> https://bit.ly/3oPKgRL
#LivingSneakPeek #MUNIQLANGSUAN
เป็นอีกหนึ่งวันที่แสนสบาย มีลมเย็นๆ พัดมากระทบไหล่เบาๆ ชวนให้พวกเราต้องคว้ากล้องตัวโปรด ออกมาแอบดู มาสำรวจบรรยากาศและความน่าอยู่ของที่อยู่อาศัยแห่งนี้ “โครงการ MUNIQ LANGSUAN” ครับ
ด้วยความเป็นที่อยู่อาศัยแนวตั้ง แน่นอนว่าต้องถูกจำกัดในเรื่องของพื้นที่ การทำให้บ้านน่าอยู่จึงเป็นโจทย์สำคัญของผู้พัฒนาโครงการทุกคน ดังนั้นสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือ “ธรรมชาติ” โครงการจึงทำพื้นที่สวนสีเขียวไว้บริเวณหน้าอาคาร คอยต้อนรับลูกบ้านและแขกผู้มาเยือน ให้ได้นั่งพูดคุยใต้ร่มเงา ซึ่งแน่นอนว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความน่าอยู่ที่ผมกำลังจะพูดถึงต่อไป ด้านในจะเป็นยังไง ตามไปชมกันต่อได้เลย
ขับรถเข้ามาด่านแรกเป็นจุด Drop Off ซึ่งใครที่มีแฟน (ขับ) มาส่งบ่อยๆ ก็คงจะถูกใจสิ่งนี้ เพราะอยู่ใต้อาคาร ไม่เปียกฝนไม่เจอแดด ปลอดภัยได้ในทุกสถานการณ์ ลงรถแล้วตรงเข้าไปด้านใน Lobby เย็นๆ ได้เลยครับ
ส่วนด้านข้างจะมีจุดสำหรับจอดรถ Auto Parking จำนวน 185 คัน คิดเป็น 111% ซึ่งจะอยู่ชั้นใต้ดิน และสูงขึ้นไปถึงชั้น 4
และมีจุดจอดรถ EV Charging เตรียมไว้ให้ 2 จุดครับ
Welcome Lobby มีเพดานสูงโปร่งสีขาว รายล้อมด้วยกระจก และประดับตกแต่งไว้อย่างสวยงาม เรียกได้ว่าพร้อมสร้างความประทับใจให้แขกผู้มาเยือนตั้งแต่ย่างกาวแรกเลยครับ
ตัวโครงการต้องการออกแบบสไตล์ Timeless Aesthetic คงความหรูหราและเรียบง่าย ทั้งภายในและภายนอก โทนสีและเส้นสาย บวกกับเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้แบบร่วมสมัย คงความคลาสสิคและความสบายไว้เข้าไว้ด้วยกัน
มีมุมนั่งพักผ่อนที่เพิ่มความส่วนตัวถัดเข้ามาด้านใน
และมี Meeting Room อยู่บริเวณใกล้เคียงกัน มีที่นั่งทำงานสบายๆ มาพร้อมไวไฟ แค่นี้ก็ไม่จำเป็นต้องออกไปไหน ทำงานที่เรารักได้ตามสบายตลอดวันเลยครับ
ถัดเข้ามาด้านในเป็น Mail Room ที่ออกแบบมาให้ดูเก๋ไก๋ไม่ธรรมดา รองรับจดหมายสำคัญของทั้ง 166 ครอบครัว
บริเวณเดียวกันจะมีจุดนั่งรอรถ เตรียมพร้อมก่อนออกเดินทาง
พร้อมจอแสดงลำดับหมายเลขรถของเรา
เสร็จจากพื้นที่ชั้น 1 เรามาค่อยๆ ไล่ดูส่วนกลางกันทีละชั้นต่อเลยนะครับ….
ผมกดลิฟต์ขึ้นมาชั้น 5 ซึ่งชั้นนี้จะเป็น Active Atrium รวมส่วนของการออกกำลังกายแบบ Active เรียกเหงื่อ กระตุ้นเลือดฝาด เรียกแก้มแดงระเรื่อกันหน่อย และชั้นนี้ถือเป็นชั้นเริ่มต้นที่มีห้องพักอาศัยด้วยครับ โดยชั้นนี้จะได้รับความเป็นส่วนตัวเพราะมีเพียง 6 ยูนิตเท่านั้น
ด้านในจะมี Locker Room, Changing Room, Spa Room, Sauna Room, Steam Room และห้องน้ำ แยกกันสองฝั่งชายหญิง
กระเบื้องลายหินอ่อนช่วยเพิ่มความหรูหรา น่าใช้งานมากขึ้น
จากนั้นเราเดินขึ้นบันไดวนมาดู Gym และ Yoga Room ด้านบน ซึ่งห้องออกกำลังกายค่อนข้างกว้างเลยทีเดียวครับ เหมาะกับช่วงโควิดแบบนี้ที่ความโปร่งและอากาศถ่ายเทเป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้ ที่สำคัญเค้าใช้แบรนด์ Technogym ทั้งหมดครับ
มาต่อกันที่ชั้น 7 เป็นห้อง Game Lounge และ Kids Quarter เรียกได้ว่าสายเอ็นเตอร์เทนต้องชอบมาใช้พื้นที่ชั้นนี้แน่นอน แถมยังกว้างขวางให้อารมณ์เหมือนอยู่คลับรับรองส่วนตัว
เค้ามีโต๊ะปิงปองสั่งทำพิเศษสำหรับโครงการนี้โดยเฉพาะด้วยนะครับ ของจริงสวยมาก จนกลายเป็นของประดับที่สวยงามกว่าฟังก์ชั่นเดิมของโต๊ะนี้เสียอีก
มีมุมนั่งพักผ่อนให้เลือกหลากลาย
บรรยากาศด้านในยังคงให้ความรู้สึกหรูหรา และมอบพื้นที่ให้ได้เล่นเกมส์สนุกๆ ไปพร้อมกันได้แบบสบายๆ ไม่อึดอัด
ใครขึ้นมาแล้วพาเจ้าตัวน้อยมาด้วย ก็ให้มาเล่นกันในห้องนี้ได้เลยครับ รับรองเล่นกันจนเหนื่อย คืนนี้หลับสบายแน่นอน
ชั้นต่อมาถือเป็นอีกหนึ่งจุดไฮไลท์ที่ผมอยากให้ทุกคนได้มาเห็นของจริงด้วยตาตัวเองกันมากครับ
ชั้น 27 นี้เป็นชั้นที่มี่ Heated Pool, Kids Pool, Jacuzzi, Sky Gallery Garden, Leisure Pool และ Charming Balcony
สระว่ายน้ำสวยหรูขนาด 15*4 เมตร ที่ว่าเป็นแบบ Heated Pool คือ สระที่นี่เค้าจะรักษาอุณหภูมิไว้ที่ 28 องศาเซลเซียสอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นไม่ว่าเมืองไทยจะอากาศเย็นแค่ไหน ลงแช่น้ำไปไม่มีสะดุ้งแน่นอนครับ
ที่ว่าอยากให้ได้ขึ้นมาชมจุดไฮไลท์ไปด้วยกัน ก็คือจุดนี้เลยครับ วิวสวนลุมพินีที่สามารถมองเห็นได้แบบเต็มๆ ตา มองท้องฟ้า มองพื้นที่ปอดขนาดใหญ่ใจกลางเมืองที่อยู่ใกล้บ้านเราในระยะเดินได้ ไม่ว่าเวลาไหนที่เราโหยหาธรรมชาติ โครงการนี้ก็จะเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่พร้อมตอบโจทย์ความต้องการนั้น
ดูสิครับสวยมากเลย ถือเป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวสวยๆ ที่เมืองไทยน่าจะพอสู้เมืองนอกเค้าได้อยู่บ้างแหละเนอะ ถัดออกไปคือ Skyline ของกรุงเทพชั้นใน การผสมผสานของสองสิ่งที่มักไม่ค่อยได้มาอยู่ด้วยกัน ดูทั้งขัดแย้งแต่ลงตัว มีให้เห็นก็เฉพาะทำเลนี้นี่แหละครับ
เดินไปดูด้านนึงจะเป็นฝั่งถนนวิทยุ ได้วิวเมืองที่ยามค่ำคืนก็สวยได้ไม่แพ้กัน ซึ่งฝั่งนี้จะมีห้อง Amphitheater กระจกแบบ Full Height ได้เพดานแบบ Double Volume เชิญชวนให้ลูกบ้านได้รวมตัว หรือพากันมานั่งดูนั่งสบายๆ กับโปรเจคเตอร์ที่ซ่อนอยู่ด้านบน ในบรรยากาศแบบโรงหนังที่ยกมาไว้บนชั้นสูงเลยครับ บรรยากาศแบบนี้โรงหนังในห้างให้ไม่ได้เลยนะ
ขึ้นไปจนถึงชั้นสุดท้ายชั้น 28 จะเจอกับ Private Kitchen and Gastronomy ห้องอาหารและห้องครัว เสมือนได้มาทานร้านอาหารบน Rooftop หรูๆ ตามโรงแรมใจกลางเมือง จะเรียกเชฟมาทำอาหาร จัดปาร์ตี้แบบส่วนตัวกับเพื่อนฝูง ห้องนี้ก็เหมาะมากเลยครับ โต๊ะรับประทานอาหาร, มุมเคาน์เตอร์บาร์ และอุปกรณ์เครื่องครัวอื่นๆ เค้าก็เตรียมไว้ให้ค่อนข้างพร้อมเลยทีเดียว
แล้วส่วนใหญ่ที่เค้าไม่ค่อยให้ความสำคัญก็คือ ส่วนครัวที่จะ support นี่แหละครับ ครัวที่นี่จัดมาให้แบบ Full Scale กันเลย เรียกว่าสามารถจัดงานเลี้ยงได้สบาย
และยังมี Decanter Sky Lounge ที่จะทำเป็นห้องจัดเลี้ยงสำหรับงานสำคัญก็ยังได้ เพราะสามารถรองรับแขกได้ถึง 30 คนเลยทีเดียวครับ มีเคาน์เตอร์บาร์ตรงกลาง สร้างบรรยากาศเหมือนไปนั่งบาร์ตาม Rooftop อีกเช่นกัน และยังมีมุมให้ได้นั่งชมวิวทิวทัศน์สวยๆ ทั้งกลางวันและกลางคืนได้แบบไม่มีเบื่อ
และ hidden corner ส่วนตัวที่สามารถนั่งชมวิวสุดสวยได้ตรงนี้แบบเย็นสบาย
เต็มอิ่มกับส่วนกลางกันไปแล้ว เราเข้ามาดูภายในห้องกันต่อเลยดีมั้ยครับ โดยวันนี้ผมขอเริ่มจากห้องแบบ 2 Bedroom ขนาด 78 ตารางเมตรก่อนเลย ห้องนี้เป็นห้อง Collection ที่โครงการเค้าคิดและออกแบบมาไว้ให้แล้ว เผื่อว่าใครถูกใจ ก็ไม่ต้องเสียเวลา หรือรอให้ห้องพร้อม ลากกระเป๋าเข้ามาอยู่ในห้องที่เราเลือกได้เลย
จะเห็นว่า Layout นี้ค่อนข้างให้ความสำคัญกับพื้นที่ Living Room พอสมควร ตัวห้องนั่งเล่นอยู่ติดกับระเบียง ห้องนอนทั้งสองห้องดันให้เข้าไปอยู่ด้านในเพื่อความเป็นส่วนตัวมากขึ้น และที่สำคัญมีถึง 3 ห้องน้ำ แยกการใช้งานห้องใครห้องมันได้โดยไม่ต้องรบกวนกัน ห้องนี้มาในราคา 27.8 ล้านบาทครับ
เริ่มจากพื้นที่ส่วนแรกจะเป็นเหมือน Foyer ต้อนรับบริเวณทางเข้า เพื่อแยกพื้นที่การใช้งานจริงให้ถัดเข้าไปด้านในอีกสักหน่อย ช่วยเพิ่มความเป็นส่วนตัว และถือเป็นการแบ่งส่วนที่จะต้องวางรองเท้า วางของตั้งแต่ก่อนเข้าห้องให้เป็นระเบียบเรียบร้อยมากขึ้น และมีโซน Laundry ซ่อนอยู่หลังประตูสีขาวสุดทางเดินครับ
ห้องนี้มีการออกแบบ Parisian Style เป็นหนึ่งในการออกแบบสไตล์ฝรั่งเศส คือจะมีความโมเดิร์นเข้าไปผสมผสานกับความคลาสสิค ตกแต่งผนังด้วยคิ้วบัวสีแดงเข้ม ซ่อนไฟไว้ให้อย่างสวยงาม ช่วยเพิ่มลูกเล่น และให้แสงสว่างในการใช้งาน ด้านหน้าทำชั้นวางของไว้ให้เจ้าบ้านได้ตั้งโชว์รูปภาพสวยๆ หรือวางของใช้จำเป็นต่างๆ
ด้านหน้านี้มีห้องน้ำแบบ Power room สำหรับแขกเตรียมไว้ให้หนึ่งห้อง เพื่อให้ผู้ที่มาเยี่ยมเยียนเราได้ใช้งานสะดวก และไม่รบกวนเจ้าของห้อง
พื้นที่ห้องนั่งเล่นตกแต่งผนังด้วยโทนสีขาว ตัดกับสีสันและลูกเล่นของเฟอร์นิเจอร์ช่วยเพิ่มความสะดุดตาและไม่น่าเบื่อ ไม่ว่าจะเป็นเก้าอี้งาน Hand Made จากประเทศเนเธอร์แลนด์ คอลเลกชั่น Plastic Fantastic เป็นคอลเลกชั่นที่โด่งดั่งจากแบรนด์ JSPR แต่ละชิ้นมีความทนทาน เพราะทำจากไม้มะฮอกกานีอย่างดี ทนทานต่อรังสียูวีและกันน้ำได้ดีเป็นพิเศษอีกด้วยครับ
ชุดครัวบิวท์อินมาให้เต็มที่ ใช้งานทำอาหารกันได้จริงๆ แบบไม่มีสะดุด พร้อมโต๊ะอาหารสำหรับ 4 ที่นั่งอยู่บริเวณเดียวกัน
มาพร้อมชุดเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่าง Hob และ Hood ของ gorenje
สำหรับห้อง Master Bedroom ใช้เฟอร์นิเจอร์นำเข้าจากอิตาลี เป็นงาน Polycarbonate ที่ขึ้นชื่อเรื่องความทนทานและไร้รอยต่อ จัดวางเตียงไว้ขนาด 5 ฟุต สามารถเดินได้รอบ อยู่ถัดกับกระจกเข้ามุม ให้เปิดรับวิวรับแสงได้ทุกเมื่อตามต้องการครับ จัดวางโต๊ะเครื่องแป้งไว้ด้านข้าง พร้อมพื้นที่การใช้งาน ให้ยืนแต่งหน้าแต่งตัวกันได้แบบสบายๆ
ห้องน้ำ แน่นอนว่าต้องมีอ่างอาบน้ำให้สมกับความเป็น Master Bedroom มีการซ่อนไฟ พร้อมได้กระจกเงาแบบเต็มบานตามนี้เลยครับ วัสดุเคาน์เตอร์เป็น Solid Surface สวยเรียบไร้รอยต่อ
ถัดไปที่ห้องนอนที่สอง ตกแต่งสีสันให้ดูสดใสตัดกับผนังสีขาว เพื่อเพิ่มลูกเล่นเฉพาะตัว ส่วนใครไม่ต้องการห้องนอนเพิ่ม ก็สามารถทำเป็นห้องทำงานส่วนตัว หรือห้องแต่งตัวขนาดใหญ่ก็เหมาะเลยครับ
มีห้องน้ำในตัวอีกเช่นกันครับ ใช้งานสบาย ปวดหนักเบา ยามไหนเราก็ไม่หวั่น
ห้องถัดไปเป็นห้องขนาด 96.5 ตารางเมตร เป็นแบบ 2 Bedroom เช่นเดียวกัน แต่กว้างขวางและอยู่สบายมากขึ้นด้วยพื้นที่โปร่งโล่ง ไม่ว่าจะพื้นที่ส่วนรวมหรือมุมส่วนตัว และยังได้ห้องอเนกประสงค์เพิ่มมาอีกห้องนึงด้วยครับ
เข้ามาพื้นที่ส่วนแรกจะมีตู้รองเท้าบิวท์อินมาให้จัดเก็บส้นสูงและคัทชูคู่โปรดไว้ได้อย่างเป็นระเบียบ
ความเรียบหรูและดูเข้ากันดีมากๆ ของห้องนี้คือการใช้โทนสีน้ำตาล เทา เบจ ให้สอดรับกับวัสดุภายในที่เป็นไม้และหนัง ได้อย่างลงตัวครับ มีการใช้เส้นโค้งให้ห้องดู Smooth มากขึ้น วัสดุเน้นโทนธรรมชาติช่วยเพิ่มความอบอุ่น Top ทั้งหมดของตัวห้องใช้เป็นหิน White Venus การตกแต่งไฟไม่ใช่แค่ติด Down Light ธรรมดา แต่ใช้ไฟ Track Light ที่สามารถปรับได้
พื้นที่ครัวจะได้ ทรงตัว L และมี Island ตรงกลาง เพื่อให้ Dinner มื้อนี้ดูสนุกขึ้น และใช้งานได้สะดวกสบายตลอดการทำอาหาร
Living Room กว้างขวาง คู่รักอยู่ด้วยกันได้สบายเหมือนบ้าน ครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้าได้อย่างอบอุ่น
ระยะดู TV ก็ปรับขยับขยายได้เองตามต้องการ พื้นที่ยืดหยุ่น ให้เราได้จัดวางของใช้ หรือเลือกตกแต่งมุมใช้งานต่างๆ ได้เพิ่มเองตามใจชอบ
และที่ผมชอบคือมีห้องอเนกประสงค์ให้ด้วย จะทำเป็นห้องทำงานก็ดูจะเหมาะเลยครับ
มีประตูกระจกบานเลื่อนช่วยเรื่องความเป็นส่วนตัว
จากนั้นเข้ามาในห้อง Master ที่เห็นแล้วจะว้าวเลยครับ อย่างแรกคือเป็นห้องนอนที่มี Walk-in Closet ในตัว ซึ่งสามารถเลื่อนประตูกั้นให้ดูเป็นสัดส่วนขึ้นได้อีก ด้านในสามารถใส่ตู้เสื้อผ้า และโต๊ะเครื่องแป้ง มีพื้นที่เหลือๆ ให้ได้เพิ่มหล่อ เสริมสวยกันแบบสบายๆ
และเมื่อขยับเข้ามาดูในห้องนอน ก็จะเห็นเลยว่ากระจกเข้ามุมสามารถมอบวิวสวนลุมพินีเป็นเอกสิทธิเฉพาะตัวให้เราได้แบบนี้
ตัวห้องนอน Master Bedroom โครงการเลือกหัวเตียงแบบเตี้ยเพื่อให้เปิดรับวิวสวนสวยๆ ได้อย่างเต็มที่ แผง TV ระแนงใช้ไม้จริง ด้านล่างเป็น Top หิน และ veneer ไม้สีเข้ม และยังคงเน้นโทนสีน้ำตาลธรรมชาติ ให้ดูอบอุ่นและห้องดูเท่มากขึ้นครับ
และในห้องน้ำมี Bathtub เช่นเดียวกัน เค้าก็ตกแต่งมาสวยน่าใช้งานตามนี้เลย
ถัดมาอีกหนึ่งห้องนอนห้องนี้ก็ใหญ่ไม่แพ้ห้องแรกเลย ตู้เสื้อผ้าบิวท์อินไว้อย่างสวยงามเรียบร้อย ไม่เกะกะขวางทางและใช้งานได้ง่าย มีห้องน้ำอยู่ด้านในเพื่อให้เจ้าของห้องได้ความเป็นส่วนตัวตลอดการใช้งาน
เพดานที่นี่สูงถึง 3 เมตร กระจกที่ให้มาก็สูงจรดเพดาน ช่วยทำให้ห้องยิ่งดูโปร่ง น่าอยู่มากขึ้นครับ
นอนมองสวนเขียวๆ ได้ทุกเช้าค่ำ ถือเป็นจุดพักสายตาที่ดีทีเดียว
มีห้องน้ำในตัวพร้อม Shower box ช่วยจัดสรรพื้นที่ใช้งาน
และทั้งหมดนี้ก็เป็นภาพรวมและห้องตัวอย่างโครงการ MUNIQ LANGSUAN ที่พวกเรานำมาฝากทุกคน ถูกใจวิวเมืองเคียงคู่สวนลุมพินีสวยๆ กันบ้างมั้ยครับ ต้องบอกเลยว่าที่นี่ถือเป็นอีกหนึ่งโครงการ Freehold ที่อยู่บนทำเลใจกลางเมือง ใกล้พื้นที่ปอดขนาดใหญ่ของกรุงเทพฯ รายล้อมไปด้วยสถานที่สำคัญและสิ่งอำนวยความสะดวกอีกมากมาย ทั้งวัสดุและการออกแบบที่โครงการเค้าคัดสรรมาให้ลูกบ้านได้อยู่กันอย่างสบายกายและสบายใจไปกับบรรยากาศชั้นเยี่ยม ทำให้โครงการนี้มีความน่าสนใจและถือเป็น Rare Item บนทำเลหลังสวน ที่จะมาช่วยให้การใช้ชีวิตแบบเหนือระดับเกิดขึ้นได้จริง ที่นี่ครับ
โครงการมาในราคาเริ่มต้น 18 ล้านบาท ตอนนี้เหลือขายอยู่เพียง 10% แล้วด้วยครับ
ใครที่สนใจก็อยากให้ลองแวะเข้าไปเยี่ยมชมด้วยตาของตัวเอง หรือคลิกที่นี่เพื่อลงทะเบียนรับสิทธิ์พิเศษก่อนได้เลยที่ >> https://bit.ly/3oPKgRL