กรุงเทพฯ – “เอสซีจี” ผู้นำธุรกิจอย่างยั่งยืนในอาเซี
นายนิธิ ภัทรโชค กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี กล่าวว่าความก้าวล้ำทางเทคโนโลยี จำนวนประชากรที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ทั่วโลกกำลังเจอวิกฤติปัญหามากมาย ทั้งโลกร้อน มลภาวะ ภัยธรรมชาติ และการขาดแคลนทรัพยากร เอสซีจี จึงได้กำหนดแนวทางในการดำเนินธุรกิจด้วยหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน นำแนวทางดังกล่าวมาใช้ในการดำเนินธุรกิจ มุ่งวิจัย พัฒนา และนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาผลิตนวัตกรรมสินค้า บริการ และโซลูชันด้านที่อยู่อาศัย ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อร่วมลดปัญหาดังกล่าว และเพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภคยุคใหม่ ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้น พร้อมกันนี้ยังได้ออกฉลากรับรองตนเองด้านความมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้กับสินค้า และบริการของเอสซีจี หรือ ‘เอสซีจี กรีน ช้อยส์’ (SCG Green Choice) คุณเลือก เพื่อโลกได้ มาเป็นตัวช่วยผู้บริโภคในการเลือกผลิตภัณฑ์ให้ง่ายยิ่งขึ้น และมั่นใจได้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่รักษ์โลกและดีต่อคุณภาพชีวิตจริงๆ ผ่านการให้ความรู้เกี่ยวกับข้อมูลผลิตภัณฑ์ คุณสมบัติ และประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อมที่ชัดเจนของกลุ่มสินค้าที่มีฉลากรับรองนี้ พร้อมเดินหน้าสร้างการรับรู้ผ่านสื่อทั้งออฟไลน์ และออนไลน์ รวมถึงสื่อสารผ่านหน้าร้าน และ ณ จุดขาย
นายนิธิ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ปัจจุบันเอสซีจีมีสัดส่วนรายได้สินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ประมาณ 1 ใน 3 ของยอดขายทั้งหมด โดยมีสินค้าและบริการในธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง 60 รายการ ที่ได้รับฉลาก SCG Green Choice ครอบคลุมทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ และสามารถตอบโจทย์การสร้างบ้านได้ทั้งหลัง ไม่ว่าจะเป็นนวัตกรรมสินค้าเพื่อบ้านอยู่สบาย และส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดี ไปจนถึงงานโครงสร้าง หลังคา วัสดุตกแต่งบ้าน ตัวอย่าง นวัตกรรมสินค้าเพื่อบ้านอยู่สบาย เช่น ระบบหลังคาโซลาร์เซลล์ เอสซีจี สามารถผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ช่วยประหยัดค่าไฟได้มากกว่า 1,370 หน่วย/เดือน (แพ็กเกจพรีเมียม) ระบบ Active AIRflow™ System นวัตกรรมถ่ายเทอากาศที่ช่วยลดอุณหภูมิ 2-5 องศาในบ้าน และช่วยกรองฝุ่น PM 2.5 นวัตกรรมที่ช่วยให้เจ้าของบ้านประหยัดยิ่งขึ้น เช่น สุขภัณฑ์อัจฉริยะ จากคอตโต้ ที่ช่วยลดการใช้น้ำได้ถึง 25% เมื่อเทียบกับสุขภัณฑ์ทั่วไป ทั้งยังมีฟังก์ชันเปิด-ปิดฝาอัตโนมัติ และมีก้านฉีดชำระสแตนเลสผสมสารป้องกันแบคทีเรีย มาพร้อมระบบ UV Sterilization (Self-Cleaning) เพิ่มความมั่นใจในความสะอาดทุกครั้งที่ใช้งาน รวมถึงก๊อกน้ำหลากหลายรุ่น ที่ลดการใช้น้ำได้มากกว่า 20% และ นวัตกรรมป้องกันเชื้อโรค เช่น กระเบื้อง Hygienic Tiles ที่มีสาร Silver Nano ที่ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ตลอดอายุการใช้งาน นวัตกรรมสินค้าอื่นๆ เช่น กลุ่มงานโครงสร้าง เช่น ปูนงานโครงสร้าง เอสซีจี สูตรไฮบริด ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิตอย่างน้อย 50 กิโลกรัมต่อตันปูนซีเมนต์ กลุ่มหลังคา เช่น หลังคาคอนกรีต เอสซีจี รุ่นซีแพค หลังคาไฟเบอร์ซีเมนต์ เอสซีจี รุ่นลอนคู่ และวัสดุตกแต่งบ้านอื่นๆ เช่น บล็อกปูพื้น เอสซีจี (Concrete Paving Block) มีการใช้วัสดุรีไซเคิลเป็นส่วนผสมในการผลิต
“เมื่อเร็วๆ นี้ เอสซีจียังสะท้อนความมุ่งมั่นด้านสิ่งแวดล้อม ด้วยการคว้ารางวัลแบรนด์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในฐานะองค์กรเพื่อสิ่งแวดล้อม (Top Green Brand Love) จากวิทยาลัยการจัดการมหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) ซึ่งตอกย้ำจุดยืนด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่มุ่งมั่นมาโดยตลอด สำหรับทิศทางการดำเนินงานในอนาคต เอสซีจีจะเดินหน้าผลักดัน และส่งเสริมการดำเนินงานให้สอดรับกับเศรษฐกิจ และสังคมในยุค New Normal โดยเราจะมุ่งให้ความสำคัญกับการพัฒนาธุรกิจที่ยั่งยืน (Sustainable Development) มากยิ่งขึ้น ด้วยการนำเทคโนโลยีมาใช้อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อพัฒนานวัตกรรมสินค้า โซลูชัน และบริการ เอสซีจี เชื่อว่าฉลาก SCG Green Choice จะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภคว่าทุกผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรอง เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน” นายนิธิ กล่าวทิ้งท้าย