ออริจิ้น กวาดกำไร 9 เดือนกว่า 1,317 ล้านบาท พร้อมแต่งตั้ง “ปิติ จารุกำจร” ขึ้นแท่น “Co-CEO” หนุนทัพธุรกิจคอนโดมิเนียม

ออริจิ้นกวาดยอดโอน 9 เดือนกว่า 10,500 ล้านบาท และกำไรกว่า 1,317 ล้านบาท ขณะที่บอร์ดออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ หรือ ORI แต่งตั้ง “ปิติ จารุกำจร” นั่ง Co-CEO, Chief Design Officer และควบ CEO บริษัทย่อย “ออริจิ้น เวอร์ติเคิล” ไตรมาส 4/2567 เตรียมโอนกรรมสิทธิ์โครงการใหม่เพิ่มอีก 3 โครงการ 7,430 ล้าน มีแบ็คล็อกแล้วเฉลี่ยกว่า 80%

นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 บริษัทมีรายได้อยู่ที่ 9,638 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,317 ล้านบาท ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท จึงมีมติเห็นชอบให้เสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นสามัญจ่ายปันผลสำหรับกำไรสะสมและผลการดำเนินงานของบริษัทงวด 1 มกราคม – 30 กันยายน 2567 ในอัตรา 0.021 บาทต่อหุ้น คิดเป็นเงินปันผลจ่ายเป็นเงินสดทั้งสิ้นไม่เกิน 51.54 ล้านบาท โดยขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2567 กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 และกำหนดจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นภายในวันที่ 13 ธันวาคม 2567

ขณะเดียวกัน ที่ประชุมได้มีมติแต่งตั้ง นายปิติ จารุกำจร ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม (Co-CEO), ประธานเจ้าหน้าที่สายงานออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Chief Design Officer) บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท ออริจิ้น เวอร์ติเคิล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (ORIGIN VERTICAL) เพื่อเข้ามาช่วยดูแลการเติบโตและขับเคลื่อนธุรกิจคอนโดมิเนียมของบริษัทให้เดินหน้าไปได้อย่างแข็งแกร่ง

สำหรับนายปิติ จารุกำจร จบการศึกษาระดับปริญญาตรี จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และระดับปริญญาโท จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมก่อสร้างและการจัดการ มหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนาสเตต มีประสบการณ์คร่ำหวอดในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มาอย่างยาวนานกว่า 20 ปี เชี่ยวชาญทั้งงานด้านวิศวกรรม และงานบริหารโครงการ โดยเฉพาะกลุ่มโครงการคอนโดมิเนียม เข้ามาร่วมงานกับบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ตั้งแต่ปี 2564 และมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจของบริษัทเดินหน้าไปได้ตามเป้าหมาย

นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า สำหรับช่วงไตรมาส 4/2567 นั้น บริษัทจะมีโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ พร้อมทยอยโอนกรรมสิทธิ์เพิ่มเติมอีก 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 7,430 ล้านบาท ได้แก่ 1.ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ สิรินธร สเตชั่น (Origin Plug & Play Sirindhorn Station) คอนโดมิเนียมเจาะตลาด Gen Y-Gen Z แห่งแรกของบริษัทในฝั่งธนบุรี ใกล้ MRT สิรินธร 2.โซ ออริจิ้น พหล 69 สเตชั่น (So Origin Phahol 69 Station) คอนโดมิเนียมใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียว เพียง 50 เมตร และใกล้สนามบินดอนเมือง และ 3.ไนท์บริดจ์ สเปซ สุขุมวิท-พระราม 4 (Knightsbridge Space Sukhumvit-Rama 4) คอนโดมิเนียมใกล้ BTS พระโขนง โดยมียอดขายรอรับรู้รายได้ เฉลี่ยกว่า 80% ของมูลค่าโครงการรวม

“เราเห็นแนวโน้มการฟื้นตัวของกำลังซื้อ จากยอดขายในงานมหกรรมบ้านและคอนโดครั้งล่าสุด เมื่อช่วงปลาย ต.ค.-ต้น พ.ย.ที่ผ่านมา ลูกค้ากลับมามีความมั่นใจในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีแรก จนส่งผลให้เรามียอดขายสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 1,088 ล้านบาท เราประเมินด้วยว่ามาตรการของภาครัฐบางส่วนที่กำลังจะหมดลงช่วงสิ้นปีนี้ เช่น การลดค่าโอนกรรมสิทธิ์และค่าจดจำนอง น่าจะเป็นตัวเร่งที่ทำให้ลูกค้าตัดสินใจโอนกรรมสิทธิ์ได้เร็วขึ้น และส่งผลดีต่อภาพรวมทั้งตลาดในไตรมาสสุดท้าย” นายพีระพงศ์ กล่าว

ขณะที่บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย

1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Residential Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรมาแล้ว 163 โครงการ (ณ สิ้นไตรมาส 3/2567) เช่น แบรนด์ พาร์ค ออริจิ้น (Park Origin), โซ ออริจิ้น (So Origin), ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ (Origin Plug & Play), ไนท์บริดจ์ (Knightsbridge), นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill), ออริจิ้น เพลส (Origin Place), ดิ ออริจิ้น (The Origin), เคนซิงตัน (Kensington), แฮมป์ตัน (Hampton),

ออริจิ้น เพลย์ (Origin Play), บริกซ์ตัน (Brixton) และ บริทาเนีย (Britania) รวมมูลค่าโครงการกว่า 253,516

ล้านบาท 2.ธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิส อพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจให้บริการลูกบ้าน ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และ 4.ธุรกิจเมกะเทรนด์ระยะยาว (Mega Trends) กลุ่มธุรกิจใหม่ที่มีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว เช่น ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจเฮลท์แคร์ ธุรกิจพลังงาน ธุรกิจด้านการเงิน ธุรกิจเอนเตอร์เทนเมนท์ ฯลฯ เพื่อยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิตของผู้บริโภคแบบครบวงจร