ในสถาบัน MBA ต่างๆ ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นในประเทศหรือทวีปอะไร ต่างสอนเกี่ยวกับ “ความเสี่ยง” และ “ผลตอบแทน” ในทิศทางเดียวกันว่า:
ถ้าหวัง “ความเสี่ยงต่ำ = จะได้ผลตอบแทนต่ำ”
ถ้ายอมรับ “ความเสี่ยงสูง = จะได้ผลตอบแทนสูง”
แต่การสอนใน “บมจ.ศุภาลัย” นั้นแตกต่างออกไป ในทางตรงกันข้าม :
เราสอนว่า : เราต้องการ “ความเสี่ยงต่ำ = แต่หวังผลตอบแทนสูง”
สิ่งนี้เป็นไปได้จริงหรือ แล้วจะทำได้อย่างไรเล่า ?
โดยปกติแล้ว ความเสี่ยงมีอยู่ 2 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่
“ความเสี่ยงทางธุรกิจ” และ “ความเสี่ยงทางการเงิน”
แนวทางของศุภาลัยในการลด “ความเสี่ยงทางธุรกิจ” คือ:
- หลีกเลี่ยงโครงการและทำเลที่มีความเสี่ยงสูง
- พัฒนาคุณภาพของผลิตภัณฑ์และบริการให้ดีที่สุด โดยนำมาตรฐาน ISO 9001:2015, ระบบ Enterprise Resource Planning (ERP) และการสนับสนุนการสร้างนวัตกรรมมาใช้ เป็นต้น
- “คุณภาพ” ที่ดีจะสร้าง “แบรนด์” ให้แข็งแกร่งขึ้น ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงแต่กลับเพิ่มรายได้ให้มากขึ้น
- ขยายธุรกิจทั้งในแนวนอนและแนวตั้ง เพื่อเพิ่มการเติบโตและบรรลุ “Economy of Scale” ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนลดลงและได้กำไรมากขึ้น
- ดำเนินธุรกิจ นอกจากบนพื้นฐานที่ถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ต้องถูกจริยธรรม + จรรยาบรรณที่ดีด้วย
วิธีการลด “ความเสี่ยงทางการเงิน” ของศุภาลัย คือ:
- รักษาอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt/Equity) และอัตราส่วนหนี้ที่มีภาระดอกเบี้ย / ส่วนของทุน (Gearing Ratio) ให้อยู่ในระดับต่ำ เพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มความน่าเชื่อถือ
- ได้รับการจัดอันดับเครดิตในระดับสูง = “A”
- ส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งช่วยให้ขยายการเติบโตได้อย่างกว้างขวางทั้งในตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศ
รูปแบบการเติบโตของศุภาลัย:
“Dual Track” พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบและแนวสูง กรุงเทพฯ และเมืองต่างจังหวัด ปัจจุบัน “ศุภาลัย” กำลังพัฒนาโครงการ 250 โครงการใน 29 จังหวัดทั่วประเทศไทย
นอกจากนี้ ศุภาลัยยังได้ขยายการลงทุนไปยังต่างประเทศในกลุ่มประเทศอาเซียนและออสเตรเลีย การลงทุนในออสเตรเลียได้เติบโตขึ้นจาก 1 โครงการเมื่อ 11 ปีที่แล้ว เป็น 24 โครงการใน 4 รัฐ 6 เมืองในปัจจุบัน
กลยุทธ์ “Dual Track” และ “Triple Track” มีเป้าหมายเพื่อเพิ่ม “ศักยภาพการเติบโต” และ “กระจายความเสี่ยง” ซึ่งทั้ง 2 กลยุทธ์นี้ตอบโจทย์ทั้ง 2 เป้าหมายได้เป็นอย่างดี
แล้วในส่วนของ “ผลตอบแทนสูง” เล่า เป็นอย่างไร ?
วิธีที่ดีที่สุดในการวัด “ผลตอบแทนสูง” คือการเปรียบเทียบกับบริษัทจดทะเบียน 10 อันดับแรกในอุตสาหกรรมเดียวกัน
ผลลัพธ์การเปรียบเทียบแสดงให้เห็นถึงผลตอบแทนของ “SUPALAI” ที่ดีกว่าอย่างชัดเจน และยังมีความเสี่ยงทางการเงินน้อยกว่าด้วย ดังนี้ :-
นิตยสารการเงินธนาคาร ได้ยืนยันถึงผลงานที่ยอดเยี่ยมของศุภาลัย โดยจัดให้ศุภาลัยอยู่ในอันดับ 1 ด้านความเป็นเลิศ และมอบรางวัล “บริษัทยอดเยี่ยมแห่งปี 2566 กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง” (Best Public Company – Property and Construction Industry 2023) จากการจัดอันดับ Best Public Companies of The Year 2023
“ความลับ” เบื้องหลังความสำเร็จในระยะยาวของ “ศุภาลัย” มาจาก “ปรัชญา” ของรูปแบบการจัดการของศุภาลัย ดังนี้:
ตารางเปรียบเทียบระหว่างการจัดการล้าสมัย (Old Fashion Management), การจัดการตามสมัยใหม่ (Modern Management), และการจัดการล้ำสมัยแบบศุภาลัย (Supalai’s Post Modern Management) ซึ่งสามารถแปลเป็นภาษาไทยได้ดังนี้:
การจัดการล้าสมัย | การจัดการตามสมัยใหม่ | การจัดการล้ำสมัยแบบ “ศุภาลัย” |
1) มีการใช้อย่างแพร่หลายในอดีต | 1) เป็นที่นิยมใช้ในปัจจุบัน | 1) เป็นวิธีการใหม่และดีกว่า ซึ่งมีการใช้ในกลุ่มเล็กๆ |
2) มักใช้วิธีการ “ประมาณการ” | 2) ใช้วิธีการคำนวณตามหลักวิทยาศาสตร์ เช่น 2 + 2 = 4 | 2) ใช้วิธีวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์รวมกับความยืดหยุ่นและพลวัต เช่น 2 + 2 = 3 + 1 หรือ 8 / 2 หรือ √16 |
3) อิงจากประสบการณ์ในอดีต | 3) อิงจากทฤษฎีและกรณีศึกษา | 3) อิงจากทฤษฎีและ/หรือประสบการณ์ |
4) ใช้ความรู้สึกในการตัดสินใจ | 4) ใช้ข้อมูลและสถิติในการตัดสินใจ | 4) ใช้ข้อมูลจากหลายมิติ เช่น สังคมวิทยา จิตวิทยา สุนทรียศาสตร์ สิ่งแวดล้อม ฯลฯ |
5) เหมาะกับธุรกิจขนาดเล็ก | 5) ใช้ในธุรกิจขนาดกลางและขนาดใหญ่เป็นหลัก | 5) สามารถใช้ได้กับธุรกิจทุกขนาดและทุกประเภท |
6) เป็นการจัดการแบบเผด็จการ | 6) เป็นการจัดการแบบประชาธิปไตย | 6) ใช้วิธีใดๆ ก็ตามที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากกว่า |
7) ไม่มีการวางแผน | 7) มีการวางแผนแต่ใช้ทรัพยากรและเวลามากเกินไป | 7) มีการวางแผนโดยใช้เวลาและทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อลดต้นทุนเสียโอกาส |
8) เน้นการแสวงหากำไรสูงสุด | 8) เน้นที่ความมั่งคั่งของผู้ถือหุ้นและพนักงาน ในช่วงหลังได้ขยายไปยังกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียต่างๆ ด้วย | 8) มุ่งเน้นความพึงพอใจของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง |