รีวิวคอนโด โครงการ : MAESTRO 19

      วันนี้จะขอพาทุกคนย้อนเวลา พร้อมลัดฟ้าข้ามทวีปไปยุโรปกัน…แต่ทว่า หาจำเป็นต้องไปขอยืม Time Machine ของโดราเอมอน หรือวิ่งไปซื้อตั๋วเครื่องบินออกนอกประเทศไม่ อยู่กันแถวๆ เส้นวิภาฯ รัชดาฯ ไม่ใกล้ไม่ไกลแค่นี้ ก็ได้ใช้ชีวิตสบายๆ ในสไตล์ของตัวเอง บนพื้นที่ๆ เรียกได้ว่า ยกความคลาสสิคสไตล์ยุโรปมาผสมกับความโมเดิร์นในปัจจุบัน จนลงตัว อยู่สบาย กลายมาเป็นคอนโดมิเนียม ที่ดูดี มีเอกลักษณ์ และที่สำคัญ เลี้ยงน้องหมาได้ด้วยนะเออ กับโครงการที่มีชื่อว่า “มาเอสโตร 19 รัชดา 19 – วิภา” ครับ

      “มาเอสโตร 19 รัชดา 19 – วิภา” อ่านชื่อแล้วไม่ต้องงงครับว่า เอ๊ ตกลงโครงการอยู่รัชดา หรืออยู่วิภา คือโครงการเนี่ยตั้งอยู่ในซอยนะครับ แต่เป็นซอยที่หลายคนน่าจะรู้จักกันดี (โดยเฉพาะช่วงเวลาที่อยากเลี่ยงรถติด) นั่นก็คือ “ซอยโชคชัยร่วมมิตร” นี่แหละครับ ความพิเศษของซอยนี้คือสามารถทะลุออกไปได้ทั้งถนนวิภาวดีรังสิต ถนนรัชดาภิเษกและถนนลาดพร้าว ยกตัวอย่างว่าถ้าเราวิ่งมาจากทางเส้นรัชดาฯ ก็เลี้ยวซ้ายเข้าซอยรัชดาภิเษก 19 ซึ่งหน้าปากซอยก็จะมี MRT สถานีรัชดาภิเษกอยู่ใกล้ๆ เลย เรียกได้ว่าถ้าไม่ใช้รถ ก็มี MRT ให้ขึ้นได้สะดวกเอามากๆ ทีนี้พอเราเข้ามาแล้วจะเจอทางแยกซ้าย/ขวา ถ้าเลี้ยวซ้ายก็จะไปออกซอยวิภาวดีรังสิต 16  แต่ถ้าเลือกเลี้ยวขวาก็จะทะลุไปออกเส้นลาดพร้าวที่ทั้งซอย 18, 20 หรือ 26 ได้เลย

      ด้วยความยืดหยุ่นในการเชื่อมต่อของซอยนี้ ลูกบ้านโครงการจึงสามารถวางแผนการเดินทางได้ง่ายมาก จะไปเซ็นทรัลลาดพร้าว ยูเนี่ยนมอลล์ ก็วิ่งทะลุออกไปฝั่งลาดพร้าว ใครทำงานอยู่ AIA, SET ก็วิ่งเส้นรัชดาฯ ตรงไป หรือจะไปรับลูกรับหลานที่ม.เกษตรฯ ก็วิ่งเส้นวิภาฯ ได้เลยเช่นกัน สำหรับใครที่ไม่สะดวกใช้รถ ก็สามารถเดินทางด้วยรถสาธารณะได้หลายรูปแบบ อย่างที่บอกว่าปากซอยมี MRT ดังนั้นจะทำงานอยู่พระราม9, อโศก, สีลม ก็เชื่อมต่อกันได้หมด ส่วนในอนาคตจะออกนอกเมืองไป ตลิ่งชัน-มีนบุรี ก็รอสายสีส้ม (ปี 2023) ได้เลย อีกอย่างโครงการเค้ามีรถ Shuttle น่ารักๆ คอยวิ่งไปส่งลูกบ้านถึงปากซอยรัชดาภิเษก 19 อยู่แล้ว แต่ถ้าไม่อยากรอ ก็โบกรถกระป้อน้อยได้นะครับ เป็นเอกลักษณ์ของในซอยที่คอยวิ่งรับส่งคนในซอยอยู่เรื่อยๆ ส่วนใครใคร่จะเดินออกกำลังกายก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะตลอดสองข้างทางมีร้านค้า ร้านอาหาร ขายของเรียงรายเพียบ ถือเป็นซอยที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดซอยหนึ่งแถมยังคึกคักตลอดเวลา อยู่ที่นี่เลยไม่มีคำว่า ผอม เอ้ย! หิว แน่นอนครับ (ใครไม่มั่นใจที่ตั้งโครงการเดี๋ยวผมแปะแผนที่ไว้ให้ในคอมเมนต์นะครับ)

      เมื่อมาถึงโครงการ ก้าวแรกไม่เป็นไร ก้าวต่อไปผมนี่ปลิวเลยครับ ไม่ได้เจอพายุ หรืออภินิหารของใครแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะข้างในนี้ร่มรื่นมากๆ มีทั้งหมด 4 อาคารและมีการวางตำแหน่งให้สอดรับกับทิศทางลม ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นช่วงเช้า สาย บ่าย เย็น ลมที่นี่ก็ดีตลอดทั้งวัน โดยคอนเซ็ปต์หลักของที่นี่ อย่างที่บอกว่าเค้ายกความคลาสสิคจากสถาปัตยกรรมยุโรปมาผสมกับความโมเดิร์นจนออกมาในรูปแบบ “Industrial Elegance” มีการนำเอาวัสดุหรือโทนสีที่เป็นไม้, เหล็ก, โซฟาหนัง, โคมไฟสูง, โทนสีเทา หรือสีไม้ และประดับด้วยต้นไม้สีเขียวมาเป็นส่วนประกอบ แต่ในความคลาสสิคนี้มีความสง่างามซ่อนอยู่ ด้วยการออกแบบและการตกแต่งทั้งภายในและภายนอก ให้ดูโดดเด่นและมีเอกลักษณ์มากขึ้นครับ

      ตัวโครงการมีพื้นที่ประมาณ 5 ไร่กว่า เป็นคอนโดมิเนียมแบบ Low Rise สูง 8 ชั้น รวม 560 ยูนิต โดยชั้นบนสุดของทุกอาคาร ลูกบ้านสามารถเตรียม BBQ มาปิ้งย่าง สร้างพื้นที่ส่วนรวมร่วมกันกับเพื่อนบ้านได้ด้วย รูปแบบห้องมีตามนี้ครับ 1 Bedroom 29.66 – 40.03 ตร.ม, 1Bedroom Plus 43.75 – 43.97 ตร.ม. และ 2 Bedroom 60.83 – 61.41 ตร.ม. พื้นที่โดยรอบมีจุดให้นั่งเล่น นั่งพักผ่อนกันได้ สามารถเดินเล่นรอบอาคารไปพร้อมกับบรรยากาศสบายๆ ได้ตลอดทั้งวัน แต่ละอาคารใช้คีย์การ์ดในการเข้า-ออกแยกจากกันเพื่อความปลอดภัย โดย Facilities ถูกนำมารวมกันไว้ในอาคารตรงกลางเลยครับ มีด้วยกัน 3 ชั้น  โดยชั้น G จะเป็นส่วนของนิติบุคคลและโถงต้อนรับแขก บรรยากาศสวยหรูดูคลาสสิค ชั้น 2 เป็นห้องสมุด, พื้นที่นั่งทำงาน, ห้องซาวน่า และสระว่ายน้ำ ส่วนชั้น 3 บนสุด จะเป็นห้องฟิตเนส และมีระเบียงยื่นออกไปให้ลูกบ้าได้ออกมารับลม ถ่ายรูปคู่กับแสงพระอาทิตย์ตกสวยๆ ยามเย็น มองวิวสระว่ายน้ำชิลล์ๆ ครับ และเมื่อถึงช่วงเวลาที่คุณจะได้ใช้ร่วมกับลูกน้อยสี่ขา ก็แค่อุ้มพาลงมาที่ Pet Zone สวนด้านหลังที่โครงการเค้าเตรียมไว้ให้เจ้าตัวน้อยขนฟูมาวิ่งเล่น ดอมดมกันไปมาได้อย่างเพลิดเพลิน

      มาถึงตรงนี้เราคงพอได้เห็นภาพรวมของโครงการกันแล้วนะครับ ก่อนจะเข้าไปดูภาพบรรยากาศด้านใน และห้องตัวอย่างกัน ลองมาดูราคาและโปรโมชั่นตอนนี้กันบ้างดีกว่า โครงการขายแบบ Fully Fitted เริ่มต้นที่ห้องแบบ 1 Bedroom ราคา 2.75 ล้านบาท พร้อมโปรโมชั่น “เมเจอร์ฯ ฉีกกฎ” ให้มากกว่ามาตรการรัฐ ลดสูงสุด 5 ล้าน ฟรี 5 รายการ ได้แก่ *ฟรี! ค่าจดฯ *ฟรี! ค่าโอน *ฟรี! ค่าส่วนกลาง กองทุนและประกันมิเตอร์ไฟฟ้า ฟรีทุกค่าใช้จ่าย* และที่สำคัญเลี้ยงน้องหมาน้องแมวได้ ใครที่เปิดใจอ้าแขนรับเจ้าตัวน้อยมาอยู่ในอ้อมกอดแล้วก็ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่ได้ใช้เวลาร่วมกับพวกเขา ลองเข้ามาดูโครงการ “มาเอสโตร 19 รัชดา 19 – วิภา” กันก่อน เผื่อว่าจะตอบโจทย์การใช้ชีวิตอย่างมีสไตล์ในแบบที่คุณเป็นกันครับ … แฟนเพจ Living Sneak Peek ที่สนใจก็คลิกลงทะเบียนรับสิทธิ์พิเศษจากโครงการได้ที่นี่ครับ http://bit.ly/36CDx3F

#LivingSneakPeek #Maestro19 #MajorDevelopment

โครงการ Maestro 19

MAESTRO 19 

ภาพบรรยากาศภายในโครงการครับ โดยอาคารตรงกลางที่เราเห็นอยู่นี้คือ Club House ที่รวม Facility เพื่อลูกบ้านเอาไว้ให้บริเวณชั้น 2 และชั้น 3

นี่เป็นภาพที่ถ่ายจากชั้น 2 ของ Club House จะเห็นสระว่ายน้ำยาว 25 เมตรสวยๆ ที่ถูกปกคลุมไปด้วยร่มเงาของต้นไม้สีเขียว โดยอาคารพักอาศัยจะถูกแบ่งออกเป็น อาคาร A, B, C และ D (นับเรียงจากอาคารทางขวามือไล่ทวนเข็มนาฬิกาไปตามลำดับครับ) ห้องพักจะเริ่มที่ชั้น 2 ไปจนถึงชั้น 8 อาคาร A และ D จะสามารถจอดรถไว้ที่ลานจอดรถด้านล่างได้เลย แต่ในส่วนของอาคาร B และ C จะมีลานจอดรถบริเวณชั้นใต้ดินเพิ่มขึ้นมาให้ครับ

จะเห็นได้ชัดเจนว่ารูปแบบการจัดวางตัวอาคารให้อากาศถ่ายเทได้สะดวกอยู่ตลอดเวลา การเว้นช่องว่างระหว่างกัน รวมไปถึงการเชื่อมต่อพื้นที่ว่างเหล่านี้ด้วยพื้นที่สีเขียว และที่นั่งพักผ่อน ทำให้ลูกบ้านได้รับบรรยากาศที่อบอุ่น ร่มรื่น การเลือกใช้โทนสีเทา การเลือกใช้ผนังที่ให้ความดิบ แต่เท่ไม่เบา ทำให้รูปแบบอาคารดูคลาสสิค แต่มีแพทเทิร์นที่น่าสนใจทีเดียวครับ

ในส่วนของ Rooftop ของทุกอาคาร เค้าก็ไม่ทิ้งไว้ว่างเปล่า ปรับเป็นสวนหย่อมเล็กๆ ให้ลูกบ้านมานั่งเล่น เตรียม BBQ มาปิ้งย่างสังสรรคกันได้ทุกเทศกาล อย่างสิ้นปีนี้ถ้าใครไม่มีแพลนจะออกไปเที่ยวไหน ก็นัดกับเพื่อนข้างห้อง หรือเพื่อนอาคารข้างๆ ชวนกันมา Countdown กันบนดาดฟ้าได้เลย เผลอๆ ที่ไหนเค้าจุดพลุ เรายังจะได้เห็นกันชัดๆ กว่าคนอื่นอีกด้วยนะครับ

 

ที่นั่งยามว่าง เผื่อวันไหนหัวหน้าใจดีประชุมเลิกไวกลับถึงบ้านได้ทันก่อนตะวันตกดิน ก็จะได้มีที่ให้นั่งพักให้หายเหนื่อย จิบชา กินขนมที่เพิ่งแวะซื้อมาจากร้านเบเกอร์รี่ใกล้ๆ แถมยังได้ถือโอกาสพาน้องหมาออกมาออกไปวิ่งเล่นตรง Pet Zone ได้อีกด้วยครับ

อ่ะ เมื่อพูดถึงพื้นที่ของลูกรักสี่ขา ก็พามาดู Pet Zone กันต่อเลย พื้นที่ตรงนี้เค้าเตรียมไว้ให้สุนัขได้มาวิ่งเล่น ทำธุระ เดินดมกันไปมาทำความรู้จักกับเจ้าหมาเพื่อนบ้านกันได้ โดยกฎและเงื่อนไขต่างๆ ก็จะต้องเป็นไปตามที่ทางนิติเค้ากำหนดไว้ ถ้าใครเลี้ยงน้องหมาแล้วสนใจที่นี่ ก็เตรียมสอบถามทางโครงการไว้ก่อนได้เลย อ่ะ ผมมีทางลัดให้ แต่ต้องสัญญาว่าจะอ่านจนจบก่อนค่อยโทรนะ >> 02-116-1111

ทีนี้กลับมาต่อกันที่ตัว Club House กันต่อฮะ เพราะยังเอารูปสวยๆ มาอวดไม่หมดเลย เริ่มจาก Lobby ด้านล่าง ตรงนี้ก็ยังคงคอนเซ็ปต์ Industrial เช่นเดิม มีการนำหินอ่อนมาออกแบบให้มีลวดลายที่ดูแปลกใหม่ ไม่จำเจ โทนสียังคงทำให้ดูเป็นปูนเปลือย เหมือนอยู่ในยุโรปยุคปฏิวัติอุสาหกรรม แต่ยังคงความเรียบหรูดูดีเข้าไว้ด้วยกัน

 

เพดานสูงโปร่ง พร้อมโคมไฟทรงเท่ ช่วยประดับประดาและเพิ่มความเก๋ไก๋ให้กับ Lobby ที่นี่ครับ

จะใช้ลิฟต์ หรือเดินออกกำลังกายขึ้นบันไดวนตรงนี้ก็ได้นะฮะ

ขึ้นมาที่ชั้น 2 จะเจอกับ Co-working space และ Library area ออกแบบมาได้อย่างลงตัว เน้นโทนสีเข้มผสมกับโทนสีน้ำตาลของเก้าอี้และโต๊ะไม้ มีความส่วนตัว และมีมุมให้เลือกใช้งานได้หลากหลาย ทั้งโต๊ะประชุมแบบยาวๆ โต๊ะบาร์ หรือโซฟาสบายๆ โครงการมีห้องทำงานให้แบบชิลล์ๆ แบบนี้ ไม่ต้องเสียเงินไปนั่งคาเฟ่ ก็ถ่ายรูปเท่ๆ ออกมาได้เหมือนกัน

ชั้น 2 มีห้องซาวน่า ห้องสตีม และสระว่ายน้ำ ส่วนชั้น 3 นอกจากจะมีห้องฟิตเนส พื้นที่เล่นโยคะ ก็เห็นจะเป็นวิวสวยๆ นี่แหละครับ ที่มีให้คนที่ขึ้นมาบนชั้น 3 ได้มองเห็นวิวสระว่ายน้ำสวยๆ ตัดกับสีท้องฟ้า สีเขียวตัดกับโทนสีของตึก ชวนให้รู้สึกเหมือนเดินออกมาหลับตา เอาหน้าปะทะลม แล้วชมสวนอยู่หลังบ้านเลยก็ว่าได้

กลับลงมาด้านล่าง ทางเข้าอาคารจะต้องใช้ Key Card ในการผ่านประตูทุกครั้งครับ โดย Lobby หลักๆ ผมว่าต้องไปนั่งใช้กันที่ตัวอาคาร Club House นั่นแหละ เผื่อแขกไปใครมาก็ให้เข้าไปนั่งรอข้างในได้เย็นๆ หรือนั่งรอเก้าอี้ที่เค้าทำรองรับไว้ให้ด้านนอกก็ได้เหมือนกัน

เพราะโถงต้อนรับบริเวณชั้น G ตรงนี้ของทุกอาคารจะเป็นพื้นที่สำหรับ Mail Room และห้อง Laundry อาจจะมีพื้นที่ในการใช้งานจำกัดหน่อย ซึ่งโดยปกติแล้วพอเรากลับเข้าคอนโดฯ มา ส่วนใหญ่ก็ตรงดิ่งขึ้นไปที่ห้องเลยแหละเนอะ

กำลังเพลินกันอยู่ใช่มั้ยครับ….ขอตัดภาพบรรยากาศสบายๆ แล้วพามาเอนกายผ่อนคลายในห้องกันบ้าง ด้านในยังคงให้ Mood & Tone เท่ๆ มีสไตล์เหมือนเดิม โดยพื้นที่ด้านในมีการจัดวางค่อนข้าง Flexible อยู่ครับ เผื่อว่าใครอยากปรับเปลี่ยนการใช้งานในส่วนไหน ก็สามารถทำได้ตามใจต้องการ สำหรับห้องนี้เป็นห้อง 1 Bedroom ขนาด 29 ตร.ม. โดยห้องไซส์นี้จะมีให้ดูทั้งหมด 2 Layout ด้วยกัน แต่มีการตกแต่งที่ต่างกันโดยสิ้นเชิงครับ ผมพาดูห้องเท่ๆ ที่เหมาะกับคนเท่ๆ อย่างผม (เหรอ…) ห้องนี้ก่อนเลยแล้วกัน ฮ่าๆ

ชุดครัวบิวท์อินมาให้ตามนี้เลยนะครับ มีเครื่องดูดควัน และเตาไฟฟ้า 2 หัวของ Hafele ใครชอบทำอาหารง่ายๆ ทานในครอบครัว สบายเลยฮะ พื้นที่ใช้งานได้จริงแน่นอน

 

เพดานที่นี่สูง 2.45 เมตร ได้พื้นเป็นลามิเนตลายไม้หนา 8 มม.

ตู้รองเท้าด้านขวาบิวท์อินมาให้เต็มๆ แบบนี้เรียบร้อยครับ มีช่องตรงกลางให้ได้วางของกระจุกกระจิกได้อีกนะ ผมว่าเหมาะมากที่จะวางข้าวของที่วันรุ่งขึ้นต้องใช้ แล้วกลัวลืมครับ วางตั้งไว้เลยจะได้คว้าก่อนออกจากบ้านติดตัวไปด้วยไม่ลืม … ขอตั้งชื่อช่องนี้ว่า “ช่องสารพัดนึก”

ก่อนจะเข้าไปด้านในห้อง เค้าใช้ประตูบานเลื่อน Hybrid sliding door ทำให้ดูมีความ Industrial ด้วยการใช้อลูมิเนียมกรอบสีดำ ที่มีน้ำหนักเบาแต่แข็งแรงทนทาน

Layout นี้ดูคล้ายกับห้อง Suite ตามโรงแรมเลยก็ว่าได้ครับ คือโซน Living จะอยู่รวมกับพื้นที่ห้องนอนเลย แล้วใช้ไอ่เจ้าประตูบานเลื่อนเท่ๆ นี่แหละ เป็นตัวเลื่อนเปิด-ปิด แบ่งโซนตามการใช้งาน

บานเลื่อนที่เค้าว่า Hybrid ตัวนี้มีความน่าสนใจคือ สามารถทำหน้าที่เป็นประตูห้องครัวได้ เพียงแค่เลื่อนไปให้สุด เราก็จะได้ครัวปิดในทันที หรืออีกหน้าที่หนึ่งคือประตูของตู้เสื้อผ้าครับ

 

จัดวางเตียงขนาด 5 ฟุตไว้ตรงกลาง พร้อมเพิ่มพื้นที่ด้านข้างให้เป็นมุมทำงาน ใกล้ชิดริมกระจก เพื่อรับแสงและมองวิวได้ยามสายตาเหนื่อยล้า และถ้าใครที่เลือกอยู่ชั้น 2 รอบโครงการเค้าทำรั้วระแนงสูง 6 เมตร เพื่อให้คนที่อยู่ชั้นนี้ยังคงรู้สึกส่วนตัว ไม่ต้องกลัวคนนอกจะส่งสายตาหวานๆ เข้ามารบกวนเรา

ในส่วนของห้องน้ำได้แบบนี้ตามจริงเลยครับ ลายผนังทำเป็นลายอิฐสีขาว เพื่อให้ดูเข้ากันกับห้อง มีระบบเครื่องทำน้ำร้อนไว้ให้แล้ว ติดตั้งอยู่ใต้อ่างล้างมือ สุขภัณฑ์เป็นของ Hafele เช่นเคยครับ

ฉากกั้นติดมาให้เรียบร้อย

โครงการให้กระจกทรงกลม ด้านหลังติดกระเบื้องตกแต่งสีเข้มๆ พร้อม Built-in ตู้เก็บของใต้อ่างล้างมือไว้ให้ด้วยครับ

ส่วนอีก Layout นึงจะได้ห้องครัวและห้องนอนแยกส่วนออกจากกันตามการใช้งานของใครของมันเลยครับ ส่วนพื้นที่ห้องนั่งเล่นก็ถูกดันออกมาอยู่ด้านนอก ไว้ให้เพื่อนฝูง หรือญาติพี่น้องที่มาเยี่ยมนั่งรอ นั่งพักดื่มน้ำเย็นๆ ตากลมตากแอร์ให้สบาย ส่วนเจ้าบ้านก็วิ่งเข้าครัว เตรียมหยิบน้ำ หยิบขนมเอามาเสิร์ฟได้สะดวกๆ

ครัวอยู่ติดกับระเบียงหมดกังวลเรื่องกลิ่นอับที่มักจะเกิดหลังการโชว์ฝีมือต้มมาม่า เอ้ย! ทำเมนูเด็ดต่างๆ ซึ่งระเบียงยังมีพื้นที่พอให้จัดวางเครื่องซักผ้าได้ครับ ดังนั้นนอกจากจะเปิดรับลม ออกไปยืนบิดขี้เกียจ ก็ยังซักถุงเท้า ผ้าขนหนูอะไรด้านนอกได้

ห้องนี้ได้ตู้เก็บรองเท้าด้วยเช่นเดียวกันครับ แต่ขนาดอาจจะเล็กลงมาจากห้องแรกหน่อย แต่ก็ยังพอให้ได้ใช้งาน ช่วยไม่ให้ห้องดูรกไปด้วยรองเท้าที่กองเกลื่อนกราดบนพื้นฮะ และห้องน้ำจะอยู่ด้านนอกตรงนี้ ทำให้ทั้งเจ้าของบ้านและแขกสามารถใช้งานกันได้สะดวกๆ

เข้ามาในห้องนอน สามารถวางเตียง King Size ได้เลย ทางโครงการเค้าบิวท์อินตู้เสื้อผ้ามาให้เรียบร้อยแล้วด้วยครับ แต่ถ้าใครคิดว่าตู้ไซส์นี้ยังไม่จุใจ จะขยับขยายให้ใหญ่ขึ้นก็ยังมีพื้นที่เหลืออยู่ครับ แต่ก็อาจจะทำให้ห้องดูแน่นๆ นิดนึง ลองปรับพื้นที่เหลือด้านข้างตรงนี้ให้เป็นมุมแต่งหน้า ทำผมน่าจะเหมาะมากกว่า

 

ผนังห้องนอนติดกระจกขนาดใหญ่ เช้าๆ ลุกมาเปิดม่านไปให้สุดเพื่อเพิ่มความโปร่ง สบาย ดูผ่อนคลายไม่อึดอัดครับ

และห้องสุดท้ายของวันนี้ กับห้องแบบ 1 Bedroom ขนาดเกือบ 40 ตร.ม. (39.89)

ห้องนี้ก็จะกว้างๆ สะใจไปเลยครับ เหมาะกับครอบครัว อยู่กันได้ 2-3 คน +น้องหมาอีก 1 ตัวกำลังดี … เข้ามาด้านในก็จะเจอพื้นที่ครัว เหมาะกับคนชอบทำอาหารจริงจังขึ้นมาหน่อย ด้านซ้ายมีตู้ร้องเท้าบิวท์ไว้ให้เรียบร้อยแล้วเช่นกัน ด้านขวาจะเป็นเคาน์เตอร์ครัวที่ได้เป็นทรง L ยาวๆ เลยครับ

พื้นที่ครัวค่อนข้างกว้าง ทำให้สามารถจัดวางโต๊ะอาหาร พร้อมเก้าอี้ได้ 3-4 ที่เลยทีเดียว

ถัดมาเป็นโซนนั่งเล่นที่มีระยะดูทีวีค่อนข้างไกลพอสมควรเลย สบายใจได้ว่านั่งดูนานๆ ไม่มีมึนหัวปวดตา เอนหลังนอนดูซีรีย์เรื่องโปรดได้ยาวๆ ไปเลยครับ โดยโซนนี้จะอยู่ติดกับระเบียง ทำให้วันที่อากาศปลอดโปร่งสามารถเปิดประตูให้สุดเพื่อประหยัดไฟแถมช่วยเปลี่ยนบรรยากาศในห้องให้กลายเป็นอีกฟิลลิ่งนึงด้วยครับ

ห้องนอนผมชอบมาก ทั้งโทนสีและการตกแต่ง พื้นที่รอบเตียงเดินได้แบบสบายๆ ทำให้ไม่รู้สึกอึดอัดเลยครับ ด้านข้างมีพื้นที่ให้วางโต๊ะทำงานได้แบบลงตัวๆ เลย

ตู้เสื้อผ้าให้มาทั้งสองฝั่งซ้าย/ขวา เรียกได้ว่าได้ Walk-in Closet เลยนะครับเนี่ย

สุดท้ายที่ห้องน้ำ ซึ่งเป็น Double Access ด้วยครับ ตกดึกก็ลุกมาเข้าห้องน้ำได้เลย ไม่ต้องออกไปจ๊ะเอ๋กับคนที่เค้ากำลังดูหนังผีแบบอินๆ จะได้ไม่ต้องตกใจกรี๊ดกร๊าดกันกลางดึก ส่วนคนที่นั่งทานข้าว หรือดูหนังอยู่จะเข้าห้องน้ำก็เข้าได้เลยง่ายๆ ไม่ต้องเดินผ่านห้องนอนไปรบกวนฝันดีๆ ตอนตี 4 ของคนที่นอนอยู่ครับ

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทุกคนที่ตามอ่านมาด้วยกันจนสุดทาง หวังว่าโครงการ “มาเอสโตร 19 รัชดา 19 – วิภา” โครงการ Pet Friendly ที่อยู่ใกล้ MRT รัชดาภิเษกแห่งนี้ จะถูกใจกันบ้างนะครับ โดยตอนนี้ทุกคนสามารถเข้าไปสัมผัสบรรยากาศจริง ห้องจริงกันได้แล้วที่โครงการ เพื่อจะได้เติมเต็มคำตอบในใจที่คิดหามาตั้งนาน ว่า “โครงการไหนกันน้า ที่น่าอยู่แล้วเลี้ยงสัตว์ได้ด้วย?” โครงการนี้น่าจะเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจครับ และเช่นเคยคลิกลงทะเบียนรับสิทธิจากโครงการได้ที่นี่ครับ >> http://bit.ly/36CDx3F

คราวหน้าเราจะไปแอบดูโครงการไหนอีก อย่าลืมกดติดตามพวกเรา Living Sneak Peek ไว้ด้วยนะคร้าบ